[x]ปิดหน้าต่าง
Start by Narongrit.net & Powered by ## MAXSITE 1.10 plus ##
headerphoto

Blog สมาชิก

 

    Healthy Thailand

     อาทิตย์ ที่ 14 เดือน พฤษภาคม พ.ศ.2560 

Post by : jacksomboon


ให้คะแนนบทความนี้

Blog หมายเลข 16 | คะแนน Rating: 1.5/5 ดาว (จากจำนวนโหวต 13 votes)

Tag : นิคมการเกษตรข้าว: นิคมเกษตรพอเพียง: ปราชญ์เกษตร


 

บทนำ

 

ไทรอยด์ (Thyroid gland) เป็นอวัยวะหนึ่งในระบบต่อมไร้ท่อตั้งอยู่ด้านหน้าของลำคอใน ส่วนหน้าต่อลูกกระเดือกหรือกระดูกอ่อนไทรอยด์ (Thyroid cartilage) มีรูปร่างคล้ายผีเสื้อ ประ กอบด้วย 2 กลีบใหญ่คือ กลีบด้านซ้ายและกลีบด้านขวา ซึ่งทั้งสองกลีบเชื่อมต่อถึงกันได้ด้วยเนื้อเยื่อบางๆที่เรียกว่า อิสธ์มัส (Isthmus) ต่อมไทรอยด์ปกติของผู้ใหญ่มีน้ำหนักประมาณ 18 -30 กรัม แต่ละกลีบของต่อมไทรอยด์ยาวประมาณ 5 เซนติเมตร (ซม.) ส่วนที่กว้างที่สุดประมาณ 2 - 3 ซม. และส่วนที่หนาสุดประมาณ 0.8 - 1.6 ซม. ซึ่งต่อมไทรอยด์ปกติไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าและไม่สามารถคลำพบได้

ต่อมไทรอยด์สร้างฮอร์โมนสำคัญ 3 ชนิดคือ ไทรอกซีน หรือ ที4 (Thyroxine, T4) ไตรไอโอโดไธโรนีน หรือ ที3 (Triiodothyronine, T3) และแคลซิโทนิน (Calcitonin) ซึ่งเป็นฮอร์ โมนที่มีความสำคัญน้อยกว่า ฮอร์โมน ที4 และ ที3 เป็นอย่างมาก ดังนั้นโดยทั่วไปเมื่อกล่าวถึง ไทรอยด์ฮอร์โมนจึงมักหมายความถึงเฉพาะฮอร์โมน ที4 และ ที3 เท่านั้น

ฮอร์โมน ที4 และฮอร์โมน ที3 มีหน้าที่สำคัญมากคือ ควบคุมดูแลการใช้พลังงานทั้งจากอาหารและจากออกซิเจนหรือที่เรียกว่า เมตาโบลิซึม (Metabolism หรือกระบวนการแปรรูปอณู) ของเซลล์ต่างๆเพื่อการเจริญเติบโต การทำงาน และการซ่อมแซมเซลล์ที่บาดเจ็บสึกหรอ และยังช่วยควบคุมอุณหภูมิของร่างกายด้วย ส่วนฮอร์โมนแคลซิโทนินมีหน้าที่ช่วยควบคุมการทำงานของเกลือแร่แคลเซียมในร่างกายให้อยู่ในสมดุล

ต่อมไทรอยด์เป็นต่อมที่ทำงานโดยอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของต่อมใต้สมอง (Pituitary gland) และของสมองส่วนที่เรียกว่า ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus เป็นสมองส่วนหนึ่งของสมองใหญ่/Cerebrum โดยอยู่ในส่วนลึกกลางสมองใหญ่) ซึ่งทั้งต่อมใต้สมองและสมองไฮโป ธาลามัสยังควบคุมการทำงานของอวัยวะอื่นๆด้วยเช่น ต่อมหมวกไต รังไข่ และอัณฑะ และยังมีความสัมพันธ์กับอารมณ์และจิตใจ ดังนั้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ รวมทั้งโรคหรือภาวะผิด ปกติต่างๆของต่อมไทรอยด์จึงสัมพันธ์กับการทำงานและโรคต่างๆของอวัยวะเหล่านั้น รวมทั้งความสัมพันธ์กับอารมณ์และจิตใจ

เนื่องจากฮอร์โมนแคลซิโทนินมีบทบาทน้อยมากในการดำรงชีวิตและในโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้นในบทนี้เมื่อกล่าวถึงเรื่องของต่อมไทรอยด์จึงกล่าวถึงเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับฮอร์โมน ที4 และฮอร์โมน ที3 เท่านั้น และจะรวมเรียกฮอร์โมน ที4 และ ที3 ว่าไทรอยด์ฮอร์ โมน

โรคต่อมไทรอยด์มีอะไรบ้าง? มีอาการอย่างไร?

 

ไทรอยด์

โรคของต่อมไทรอยด์ที่พบได้บ่อยคือ ภาวะหรือโรคต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ภาวะหรือโรคขาดไทรอยด์ฮอร์โมน โรคคอพอก โรคปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์ และโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์

ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน (Hyperthyroidism)

 

คือภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานสูง ขึ้นผิดปกติจึงส่งผลให้มีฮอร์โมน ที4 และฮอร์โมน ที3 ในร่างกาย/ในเลือดสูงกว่าปกติ จึงก่อ ให้เกิดอาการต่างๆขึ้น ซึ่งเมื่อมีไทรอยด์ฮอร์โมนสูงขึ้นกว่าปกติจากสาเหตุใดๆก็ตามเช่น จากต่อมไทรอยด์อักเสบ จากกินยาไทรอยด์ฮอร์โมนเรียกภาวะนั้นว่า โรคไทรอยด์เป็นพิษ (Thyrotoxicosis) เมื่อไทรอยด์เป็นพิษเกิดจากปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์เรียกโรคนั้นว่า โรคคอพอกเป็นพิษ (Toxic nodular goiter) และเมื่อเกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันต้านทานของร่าง กาย/แอนติบอดี/สารภูมิต้านทาน (Antibody) ต่อต่อมไทรอยด์จะส่งผลให้ต่อมไทรอยด์ทั้งต่อมโตขึ้น และเซลล์ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอยด์ฮอร์โมนสูงขึ้นเรียกว่า โรคเกรวฟส์ (Graves’ disease) ซึ่งเป็นสาเหตุพบบ่อยที่สุดของภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินคือประมาณ 70% ของภาวะนี้

อาการจากภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกินที่พบบ่อยได้แก่ ผอมลงทั้งๆที่กินจุ หัวใจเต้นเร็วและแรง ทนอากาศร้อนไม่ได้ เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อแขนและขาลีบ อุจจาระบ่อยขึ้น/ท้อง เสีย ประจำเดือนไม่สม่ำเสมอ ผมเปราะแห้ง ผมร่วง มือสั่น หงุดหงิดง่าย กังวลเกินเหตุ อารมณ์แปรปรวน อ่อนเพลีย นอนไม่หลับ อาจมีต่อมไทรอยด์โตทั้งต่อมและอาจร่วมกับมีตาโปนทั้ง 2 ข้างเมื่อเกิดจากโรคเกรวฟส์ อาจมีปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์เมื่อเกิดจากคอพอกเป็นพิษ หรืออาจมีต่อมไทรอยด์โตเจ็บ อาจร่วมกับมีไข้เมื่อเกิดจากต่อมไทรอยด์อักเสบ

ภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนหรือโรคต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ (Hypothyroidism)

 

ได้ แก่ ภาวะที่ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำกว่าปกติหรือเสียหายจากสาเหตุต่างๆเช่น จากการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ จึงส่งผลให้มีไทรอยด์ฮอร์โมนในร่างกาย/ในเลือดต่ำกว่าปกติ จึงก่ออาการต่างๆขึ้น ซึ่งที่พบบ่อยได้แก่ ทนหนาวไม่ได้ หนาวเกินเหตุ ท้องผูก ประจำเดือนแต่ละครั้งมามากผิดปกติ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย อ้วนฉุ เฉื่อย ช้า เสียงแหบ พูดได้ช้าลง ผิวหนังดูหนากว่าปกติ ผิวแห้ง เล็บแตกง่าย ใบหน้า รอบดวงตา มือ เท้าบวมโดยเฉพาะเมื่อตื่นนอน ซึมเศร้า

สาเหตุพบบ่อยของภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมนได้แก่ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์จากโรคของต่อมไทรอยด์ การสูงอายุเซลล์ทุกชนิดรวมทั้งของต่อมไทรอยด์จึงเสื่อมลง กินยากดการทำงานของต่อมไทรอยด์ (เช่นรักษาโรคไทรอยด์เป็นพิษ) โรคต่อมไทรอยด์อักเสบ (เมื่ออักเสบเฉียบ พลันมักเกิดโรคไทรอยด์เป็นพิษ แต่ในระยะยาวหรือเมื่อต่อมไทรอยด์อักเสบเรื้อรัง มักเกิดภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน) การกินน้ำแร่รังสีไอโอดีนรักษาโรคต่างๆของต่อมไทรอยด์ การได้รับรังสีในบริเวณลำคอ (เช่น การฉายรังสีรักษาในโรคมะเร็งในบริเวณลำคอหรือในคนที่ทำงานเกี่ยวกับรังสี) และโรคขาดไทรอยด์ฮอร์โมนแต่กำเนิด

โรคคอพอก (Goiter หรือ Goitre)

 

คือ โรคต่อมไทรอยด์โต อาจโตเรียบทั่วทั้งสองกลีบ โตเรียบเพียงกลีบเดียว โตแบบเป็นตะปุ่มตะป่ำ หรือเป็นปุ่มก้อนเนื้อ อาจเกิดเพียงก้อนเนื้อเดียวหรือ หลายๆก้อน เกิดกับต่อมไทรอยด์เพียงกลีบใดกลีบหนึ่ง หรือกับทั้งสองกลีบพร้อมกัน ดังนั้นคอพอกจึงเป็นคำกลางๆหมายความถึงมีต่อมไทรอยด์บวมโต ซึ่งผู้ป่วยอาจ

  • มีไทรอยด์ฮอร์โมนปกติ จึงไม่มีอาการผิดปกติใดๆยกเว้นเพียงต่อมไทรอยด์โต โดยมักมีสาเหตุจากขาดเกลือแร่ไอโอดีน ต่อมไทรอยด์จึงเพิ่มปริมาณเซลล์ให้มากขึ้น ต่อมจึงมีขนาดโตขึ้นหรือเกิดเป็นตะปุ่มตะป่ำ
  • หรือมีการสร้างไทรอยด์ฮอร์โมนสูงขึ้น จึงเกิดภาวะไทรอยด์ทำงานเกินหรือไทรอยด์เป็นพิษ
  • หรืออาจมีไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ จึงเกิดอาการจากภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน ทั้งนี้ผู้ป่วยจะมีไทรอยด์ฮอร์โมนปกติ สูง หรือต่ำ ขึ้นกับสาเหตุของคอพอก

โรคปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์ (Thyroid nodule)

 

คือ ปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์ซึ่งเป็นปุ่มเนื้อที่ไม่ ใช่เนื้องอกมะเร็ง โดยปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์แบ่งเป็น 3 ชนิดตามการจับไอโอดีนของเซลล์ปุ่มเนื้อ คือ

  • เมื่อเซลล์ปุ่มเนื้อจับไอโอดีนได้ตามปกติเรียกว่า วอร์มโนดูล (Warm nodule) ปุ่มเนื้อชนิด นี้มักเกิดจากร่างกายขาดเกลือแร่ไอโอดีน และเป็นปุ่มเนื้อที่ไม่กลายเป็นโรคมะเร็ง
  • เมื่อเซลล์ปุ่มเนื้อจับไอโอดีนได้สูงกว่าปกติเรียกว่า ฮอตโนดูล (Hot nodule) ซึ่งปุ่มเนื้อชนิดนี้เป็นชนิดพบได้น้อย มักทำให้มีภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน และมีรายงานเปลี่ยนเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้ประปรายน้อยมากๆ
  • เมื่อเซลล์ปุ่มเนื้อไม่จับไอโอดีนเรียกว่า โคลด์โนดูล (Cold nodule) ปุ่มเนื้อชนิดนี้โดยทั่ว ไปเป็นเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง และจะยุบหายได้เมื่อได้รับการรักษาด้วยยาไทรอยด์ฮอร์โมนเรียก ว่า ไทรอยด์อะดีโนมา (Thyroid adenoma) อย่างไรก็ตามพบปุ่มเนื้อโคลด์โนดูลเกิดจากโรค มะเร็งต่อมไทรอยด์ได้ประมาณ 5 - 10% ดังนั้นเมื่อปุ่มเนื้อชนิดนี้มีขนาดโตขึ้นหรือไม่ยุบลงหลังได้ยาฮอร์โมนดังกล่าว การรักษามักเป็นการเจาะ/ดูดเซลล์จากปุ่มเนื้อเพื่อการตรวจทางเซลล์วิทยา เพื่อวินิจฉัยแยกโรคมะเร็ง เพื่อการรักษาได้ถูกต้องต่อไป

โรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ (Thyroid cancer)

 

เป็นโรคมะเร็งพบบ่อยชนิดหนึ่งของคนไทย เป็นโรคมะเร็งของผู้ใหญ่ แต่พบได้ตั้งแต่ในเด็กโตไปจนถึงผู้สูงอายุ ผู้หญิงพบเป็นโรคได้สูงกว่าผู้ชายถึงประมาณ 3 - 4 เท่า เป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุ แต่ปัจจัยเสี่ยงสำคัญคือการได้รับรังสีในบริเวณต่อมไทรอยด์โดยเฉพาะในช่วงเป็นเด็ก และอาการสำคัญคือ ต่อมไทรอยด์โตมอง เห็นได้และคลำได้ก้อนเนื้อหรือปุ่มเนื้อในต่อมไทรอยด์ และในโรคระยะลุกลามอาจคลำได้ต่อม น้ำเหลืองลำคอโตด้านเดียวกับที่มีก้อนเนื้อในต่อมไทรอยด์

แพทย์วินิจฉัยโรคของต่อมไทรอยด์ได้อย่างไร?

 

แพทย์วินิจฉัยโรคของต่อมไทรอยด์ได้จากประวัติอาการ การตรวจร่างกาย การตรวจคลำต่อมไทรอยด์และต่อมน้ำเหลืองลำคอ การตรวจเลือดดูการทำงานของต่อมไทรอยด์ การตรวจภาพต่อมไทรอยด์ด้วยอัลตราซาวด์หรือการตรวจทางเวชศาสตร์นิวเคลียร์ (โดยการกินน้ำแร่รังสีไอโอดีนหรือฉีดยาแร่รังสีบางชนิดเข้าหลอดเลือดดำ หลังจากนั้นจึงใช้เครื่องสแกนตรวจจับรังสีที่เซลล์ต่อมไทรอยด์จับกิน แล้วจึงแปลงเป็นภาพต่อมไทรอยด์) หรือการตรวจด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ แต่เมื่อสงสัยโรคเนื้องอกหรือโรคมะเร็งจะเจาะดูดเซลล์จากก้อนเนื้อเพื่อการตรวจทางเซลล์วิทยา นอกจากนั้นอาจมีการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์เช่น ตรวจภาพเอกซเรย์ปอดเพื่อดูการแพร่กระจายของโรคมะเร็ง เป็นต้น

รักษาโรคของต่อมไทรอยด์ได้อย่างไร?

 

การรักษาโรคต่อมไทรอยด์ขึ้นกับชนิดของโรคโดย

  • เมื่อเป็นภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน การรักษาคือ การกินยาลดการทำงานของต่อมไทรอยด์ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ และ/หรือ การกินน้ำแร่รังสีไอโอดีน โดยจะเป็นวิธีการใดขึ้นกับอายุ สุข ภาพผู้ป่วย ดุลพินิจของแพทย์ และความสมัครใจของผู้ป่วย
  • เมื่อเป็นโรคภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน การรักษาคือ การกินยาไทรอยด์ฮอร์โมน และการรักษาประคับประคองตามอาการเช่น กินยาขับน้ำลดบวม เป็นต้น
  • เมื่อเป็นโรคคอพอก คือ รักษาตามสาเหตุของคอพอกเช่น รักษาภาวะขาดไทรอยด์ฮอร์โมน เป็นต้น
  • เมื่อเป็นโรคปุ่มเนื้อต่อมไทรอยด์ คือ การรักษาตามสาเหตุเช่น รักษาภาวะไทรอยด์ทำงานเกิน เป็นต้น
  • เมื่อเป็นเนื้องอกต่อมไทรอยด์ การรักษาคือ กินยาไทรอยด์ฮอร์โมน แต่เมื่อก้อนโตขึ้นหรือ ก้อนไม่ยุบหลังกินยา การรักษาคือ การผ่าตัดก้อนเนื้อหรือการผ่าตัดต่อมไทรอยด์
  • เมื่อเป็นโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ การรักษาคือ การผ่าตัดต่อมไทรอยด์ และอาจร่วมกับการกินยาน้ำแร่รังสีไอโอดีน การฉายรังสีรักษาหรือยาเคมีบำบัด ทั้งนี้ขึ้นกับระยะของโรคมะเร็งและชนิดของเซลล์มะเร็ง

โรคของต่อมไทรอยด์รุนแรงไหม?

 

โดยทั่วไปโรคของต่อมไทรอยด์เป็นโรคไม่รุนแรง รักษาได้เสมอ ซึ่งรวมทั้งโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ ยกเว้นโรคมะเร็งชนิดมีการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งสูงมาก (ชนิด Anaplastic หรือ ชนิด Undifferentiated) เท่านั้นที่รุนแรงมากซึ่งมักทำให้เสียชีวิตเสมอ แต่เป็นมะเร็งชนิดที่พบได้น้อยมากและมักพบเกิดในผู้สูงอายุ

ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

 

เมื่อมีอาการผิดปกติดังกล่าวหรือสังเกตเห็นมีก้อนเนื้อผิดปกติในบริเวณต่อมไทรอยด์ และ/หรือลำคอ ควรรีบพบแพทย์เสมอภายใน 1 - 2 สัปดาห์เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาแต่เนิ่นๆ ซึ่งจะช่วยให้การรักษาได้ผลดีกว่า ใช้เวลารักษาและเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาน้อยกว่าการรักษาในระยะที่เป็นโรคเรื้อรังหรือเป็นโรคมะเร็งในระยะลุกลาม

ป้องกันโรคของต่อมไทรอยด์ได้อย่างไร?

 

โดยทั่วไปโรคของต่อมไทรอยด์มักไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน ยกเว้นโรคคอพอกจากขาดไอโอดีนและโรคต่อมไทรอยด์อักเสบจากการติดเชื้อ ดังนั้นการป้องกันคือ การกินอาหารที่มีไอ โอดีนอย่างเพียงพอเช่น อาหารทะเล น้ำปลาจากปลาทะเล เกลือทะเล แต่ไม่ควรกินอาหารเค็มจัดเพราะจะเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูงและโรคไตเรื้อรัง นอกจากนั้นคือ การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงและเพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ

อนึ่ง จากการศึกษาพบว่า การกินอาหารที่มีไอโอดีนปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลกดการทำงานของต่อมไทรอยด์ได้ ต่อมไทรอยด์จึงพยายามทำงานเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดคอพอกได้ หรือบางครั้งอาจทำให้ต่อมไทรอยด์สร้างไทรอยด์ฮอร์โมนเกินปกติเกิดภาวะไทรอยด์เป็นพิษ หรือบางครั้งอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งต่อมไทรอยด์ได้

จึงเห็นได้ว่าทั้งการขาดไอโอดีนหรือการกินไอโอดีนมากเกินไปก่อโรคกับต่อมไทรอยด์ได้ทั้งสองกรณี ดังนั้นจึงควรกินอาหารที่มีไอโอดีนแต่พอดี ไม่กินอาหารที่ขาดไอโอดีนหรืออา หารที่มีไอโอดีนสูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการกินไอโอดีนเสริมอาหารในรูปของวิตามิน ควรปรึก ษาแพทย์พยาบาลหรือเภสัชกรก่อนเสมอ

 

 [url]https://www.honestdocs.co/what-is-thyroid-gland[/url]


บทนำ

 

อาหารเป็นพิษ (Food poisoning) คือ โรคที่เกิดจากการกินอาหาร และ/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่ม ที่ปนเปื้อนเชื้อโรค หรือ สารพิษที่สร้างจากเชื้อโรค หรือ สารพิษจากสิ่งอื่นๆที่ไม่ใช่เชื้อโรค เช่น เห็ดพิษ สารหนู และโลหะหนัก (เช่น ตะกั่ว)

อาหารเป็นพิษ เป็นโรคพบบ่อยโรคหนึ่งในประเทศที่กำลังพัฒนา แต่พบได้ประปรายในประเทศที่พัฒนาแล้ว เกิดได้กับคนทุกอายุ ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ และโอกาสเกิดในผู้หญิงและผู้ชายเท่ากัน ทั้งนี้เป็นโรคพบในเด็กได้สูงกว่าวัยอื่นๆ เพราะแหล่งอาหารเป็นพิษที่สำคัญ คือ อาหารโรงเรียน ทั้งนี้ในประเทศที่กำลังพัฒนา มีรายงานเด็กเกิดอาหารเป็นพิษได้สูงถึงประมาณ 5 ครั้งต่อปี

อาหารเป็นพิษ เมื่อเกิดจากเชื้อโรค สามารถเป็นโรคติดต่อได้ และพบเกิดระบาดได้เป็นครั้งคราว โดยนิยามของการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ คือ เกิด อาการท้องเสีย อาจร่วมกับอาการทางกระเพาะอาหารและลำไส้อื่นๆ เช่น ปวด ท้อง ขึ้นพร้อมกัน หรือ ต่อเนื่องกัน อย่างน้อยตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป โดยมีสาเหตุมาจากอาหาร และ/หรือ น้ำดื่ม

โรคอาหารเป็นพิษที่เกิดกับนักท่องเที่ยวเดินทาง มักเกิดจากติดเชื้อแบคที เรีย ซึ่งเรียกว่า โรคท้องเสียของนักท่องเที่ยวเดินทาง (Travelers’ diarrhea)

โรคอาหารเป็นพิษเกิดจากอะไร? มีกลไกเกิดโรคได้อย่างไร?

 

โรคอาหารเป็นพิษส่วนใหญ่เกิดจากกินอาหาร และ/หรือ ดื่มน้ำ/เครื่องดื่มที่ปนเปื้อน แบคทีเรีย รองลงไป คือ ไวรัส นอกจากนั้นที่พบได้บ้าง คือ การปนเปื้อนปรสิต (Parasite) เช่น บิดมีตัว(Amoeba) ส่วนการปนเปื้อนสารพิษ ที่พบบ่อย คือ จากเห็ดพิษ สารพิษปนเปื้อนในอาหารทะเล สารหนู และสารโลหะหนักดังกล่าว

แบคทีเรียที่พบก่อโรคอาหารเป็นพิษ มีหลายชนิด ที่พบบ่อย คือ สแตฟฟีโลคอกคัส (Staphylococcus) อีโคไล (E. coli) บิดชิเกลลา (Shigella) ไทฟอยด์ (Salmonella) เชื้อแบคทีเรียในกลุ่มเดียวกับบาดทะยัก (Clostridium) อหิวาตกโรค (Cholera) และ ลิสทีเรีย (Listeria monocytogenes)

ไวรัสที่พบเป็นสาเหตุโรคอาหารเป็นพิษ ที่พบบ่อย คือ ไวรัสตับอักเสบ เอ และอะดีโนไวรัส (Adenovirus)

เมื่อเชื้อโรค หรือ สารพิษเข้าสู่กระเพาะอาหารและลำไส้ จะมีกลไกทำให้เกิดอาการได้เป็นสองแบบ ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของเชื้อ หรือ สารพิษ

กลไกแรก เป็นกลไกที่ก่ออาการท้องเสียไม่รุนแรง เรียกว่า noninflamma tory type โดยเชื้อจะก่ออาการเฉพาะกับเยื่อเมือกบุลำไส้เล็กเท่านั้น ไม่รุกรานเข้าสู่ร่างกาย ดังนั้น อาการส่วนใหญ่ จึงเป็น ท้องเสียเป็นน้ำ โดยไม่ถ่ายเป็นมูก หรือ เป็นเลือด และมีอาการปวดท้องไม่มาก แต่จะทำให้ร่างกายขาดน้ำได้มาก เช่น จากเชื้อ อีโคไล สายพันธุ์ไม่รุนแรง (อีโคไล มีหลายสายพันธุ์ย่อย) และไม่ค่อยมีอาการร่วมอื่นๆ

อีกกลไกหนึ่ง เป็นกลไกที่รุนแรง เรียกว่า Inflammatory type คือ เชื้อ ทำลายเยื่อเมือกของลำไส้เล็ก และ รุกรานผ่านเยื่อเมือกเข้าสู่กระแสโลหิต (เลือด) ไปทั่วร่างกาย ดังนั้น อาการท้องเสียจึงมักเป็นมูก เป็นเลือด หรือ มูกเลือด และมักร่วมกับมีอาการร่วมอื่นๆ เช่น ปวดท้องมาก คลื่นไส้ อาเจียน ไข้สูง ปวดเมื่อยเนื้อตัว และปวดข้อ และเมื่อเป็นเชื้อชนิดรุนแรง เช่น เชื้อแบคทีเรียในกลุ่มบาดทะยัก สารพิษของเชื้อนี้ สามารถทำลายประสาทได้ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นอัมพาต และรวมทั้งกล้ามเนื้อหายใจ หายใจไม่ได้ หยุดหายใจ และเสียชีวิตในที่สุด

ส่วนกลไกจากสารพิษที่ไม่ใช่จากเชื้อโรค ยังไม่ทราบชัดเจนว่า เกิดได้อย่างไร

โรคอาหารเป็นพิษมีอาการอย่างไร?

 

เมื่อเชื้อ หรือ สารพิษเข้าสู่ร่างกาย จะก่ออาการ เร็ว หรือ ช้า (ระยะฟักตัว) ขึ้นกับชนิด และปริมาณของเชื้อ หรือ ของสารพิษ ซึ่งพบเกิดอาการได้ตั้งแต่ 2-6 ชั่วโมงหลังกินอาหาร/ดื่มน้ำ ไปจนเป็นวัน หรือ สัปดาห์ หรือ เป็นเดือน (เช่น ในไวรัสตับอักเสบ เอ) แต่โดยทั่วไป มักพบเกิดอาการภายใน 2-6 ชั่วโมง หรือ 2-3วัน

อาการโดยทั่วไปที่พบได้บ่อย จากอาหารเป็นพิษ ได้แก่

  • ท้องเสีย อาจเป็นน้ำ มูก หรือ มูกเลือด ดังกล่าวแล้ว
  • ปวดท้อง อาจมาก หรือ น้อย ขึ้นกับความรุนแรงของโรค มักเป็นการปวดบิด
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • มีไข้สูง อาจหนาวสั่น แต่บางครั้งมีไข้ต่ำได้
  • ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว อาจปวดข้อ ขึ้นกับชนิดของเชื้อหรือ สารพิษดังกล่าวแล้ว
  • อาจมีผื่นขึ้นตามเนื้อตัว
  • อาจมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังกล่าวแล้วเช่นกัน

 

แพทย์วินิจฉัยโรคอาหารเป็นพิษได้อย่างไร?

 

แพทย์วินิจฉัยโรคอาหารเป็นพิษได้จาก ประวัติอาการ อาหาร/น้ำดื่มที่บริโภค คนอื่นที่กินด้วยกันมีอาการไหม การตรวจร่างกาย อาจมีการตรวจเลือด ตรวจเชื้อ หรือ สารพิษ หรือ เพาะเชื้อ จากอาหาร/น้ำดื่ม หรือจากอุจจาระ และการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม ทั้งนี้ขึ้นกับอาการผู้ป่วย และดุลพินิจของแพทย์

รักษาโรคอาหารเป็นพิษได้อย่างไร?

 

แนวทางการรักษาโรคอาหารเป็นพิษ ที่สำคัญที่สุด คือ รักษาประคับ ประคองตามอาการ ได้แก่ ป้องกันภาวะขาดน้ำและขาดสมดุลของเกลือแร่ซึ่งการรักษาโดยให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดเมื่อท้องเสียมาก ยาแก้ปวด ยาบรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียน และยาลดไข้ นอกจากนั้น คือ การรักษาตามสาเหตุ เช่นพิจารณาให้ยาปฏิชีวนะ เมื่อเกิดจากติดเชื้อแบคทีเรีย หรือ ให้ยาต้านสารพิษถ้าเป็นชนิดมียาต้าน เป็นต้น

มีผลข้างเคียงจากโรคอาหารเป็นพิษไหม?

 

ผลข้างเคียงจากโรคอาหารเป็นพิษ โดยทั่วไปคือ ภาวะขาดน้ำเมื่อท้องเสียมาก (อ่อนเพลียมาก ตัวแห้ง ปากแห้ง ปัสสาวะน้อย/ไม่มีปัสสาวะ ความดันโลหิตอาจต่ำ สับสน และโคม่าได้) นอกจากนั้นขึ้นกับชนิดของเชื้อโรค หรือของสารพิษ เช่น กล้ามเนื้อไม่มีแรงเมื่อได้รับเชื้อแบคทีเรียกลุ่มบาดทะยัก เลือดออกตามอวัยวะต่างๆโดยเฉพาะไต เมื่อเกิดจากเชื้อ อีโคไลชนิดรุนแรง หรือ ทำให้เกิดการแท้งบุตรในหญิงตั้งครรภ์เมื่อเกิดจากเชื้อ ลิสทีเรีย

โรคอาหารเป็นพิษรุนแรงไหม?

 

โดยทั่วไป ประมาณ 80-90% ของโรคอาหารเป็นพิษไม่รุนแรง โรคหายได้ภายใน 2-3 วัน แต่ทั้งนี้ขึ้นกับชนิด และปริมาณของเชื้อโรค หรือ ของสารพิษด้วย นอกจากนั้น จะพบความรุนแรงโรคสูงขึ้นมาก และเป็นสาเหตุเสียชีวิตได้สูง เมื่อโรคเกิดในคนมีภูมิคุ้มกันต้านทานโรคต่ำ เช่น ในเด็กเล็ก ในผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือ ในผู้สูงอายุ

ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?

 

การดูแลตนเอง และการพบแพทย์ เมื่ออาหารเป็นพิษ ที่สำคัญ คือ

  • ในขณะปวดท้อง หรือ คลื่นไส้อาเจียน ไม่ควรกินอาหาร หรือ ดื่มน้ำเพราะอาการจะรุนแรงขึ้น
  • ไม่ควรกินยาหยุดถ่ายท้อง เพราะการท้องเสียจะช่วยขับเชื้อและสารพิษออกจากร่างกาย
  • จิบน้ำ อมน้ำแข็งสะอาด หรือ น้ำเกลือแร่ บ่อยๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
  • เมื่ออาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือ ปวดท้องบรรเทาลง ควรเริ่มอาหารด้วยอาหารน้ำ รสจืด เช่น น้ำซุปครั้งละน้อยๆก่อน แล้วสังเกตอาการ หลังจากนั้น ปรับอาหารไปตามอาการ
  • ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละมากๆ อย่างน้อย 8-10 แก้ว เมื่อแพทย์ไม่สั่งให้ จำกัดน้ำดื่ม
  • พักผ่อนให้มากๆ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญ คือ การล้างมือให้สะอาดเสมอ โดยเฉพาะหลังการขับ ถ่าย และก่อนกินอาหาร
  • รีบพบแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง หรือ ฉุกเฉินขึ้นกับความรุนแรงของอาการ เมื่อ
    • มีอาการดังกล่าวภายหลังการกินเห็ด หรือ อาหารทะเล เพราะมักเกิดจากสารพิษที่รุนแรง
    • มีคลื่นไส้ อาเจียนมาก ปวดท้องมาก
    • ท้องเสียมาก ดื่มน้ำไม่ได้ ไม่มีปัสสาวะ (อาการจากร่างกายขาดน้ำมาก)
    • อาการท้องเสีย ถึงแม้จะดีขึ้น แต่ยังคงมีอาการอยู่นานเกิน 3 วัน
    • มีไข้สูง
    • อุจจาระเป็นเลือด


https://www.honestdocs.co/diarrhea


โรคไข้เลือดออก

 

ไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever – DHF) เป็นโรคติดเชื้อซึ่งมีสาเหตุมาจากไวรัสเดงกี (Dengue virus) โดยมียุงลายบ้านเป็นพาหะนำโรค อาการของโรคนี้จะคล้ายคลึงกับโรคไข้หวัดในช่วงแรก (แต่มักจะไม่ค่อยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือไอมากอย่างผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัด) จึงทำให้ผู้ป่วยเข้าใจคลาดเคลื่อนได้ว่าตนเป็นเพียงโรคไข้หวัดและทำให้ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ส่วนอาการและความรุนแรงของโรคก็มีหลายระดับตั้งแต่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยไปจนถึงเกิดภาวะช็อกซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต (ความรุนแรงของการติดเชื้อขึ้นอยู่กับอายุ ภาวะภูมิคุ้มกัน และความรุนแรงของเชื้อไวรัส)

โรคนี้เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่ง มักพบการระบาดในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นช่วงที่มียุงลายชุกชุม จากสถิติในปี พ.ศ. 2556 ของสำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่ามีผู้ป่วยจำนวน 154,444 ราย (คิดเป็นอัตราป่วย 241.03 ต่อประชากร 100,000 ราย) และมีจำนวนผู้ป่วยเสียชีวิตจำนวน 136 ราย (คิดเป็นอัตราเสียชีวิต 0.21 ต่อประชากร 100,000 ราย) ส่วนอัตราการเสียชีวิตคิดเป็น 0.09% สำหรับสัดส่วนของผู้ป่วยจำแนกตามกลุ่มอายุ พบว่าส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ 15-24 ปี 29.16% รองลงมา คือ กลุ่มอายุ 10-14 ปี 21.31% และกลุ่มอายุ 5-9 ปี 13.74% ตามลำดับ ส่วนกลุ่มอายุ 0-4 ปี และมากกว่า 25 ปี จนถึง 65 ปี เป็นช่วงอายุที่พบได้น้อยที่สุด (ในเด็กขวบปีแรกมักพบในช่วงอายุ 7-9 เดือน)

สาเหตุของโรคไข้เลือดออก

 

เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ซึ่งแบ่งออกได้เป็น 4 สายพันธุ์ ได้แก่ ชนิด 1, 2, 3 และ 4 (DEN-1, DEN-2, DEN-3, DEN-4) โดยมียุงลายบ้าน (Aedes aegypti) ตัวเมียเป็นพาหะนำโรค กล่าวคือ ยุงลายตัวเมียจะกัดและดูดเลือดของผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออกก่อน (เชื้อไวรัสเดงกีในเลือดของผู้ป่วยจะเข้าไปฟักตัวและเพิ่มจำนวนในตัวยุงและเชื้อนี้สามารถมีชีวิตอยู่ในตัวยุงได้ตลอดอายุของยุง คือ ประมาณ 1-2 เดือน) แล้วจึงไปกัดคนที่อยู่ใกล้เคียงในรัศมีไม่เกิน 400 เมตร ซึ่งจะเป็นการแพร่เชื้อไปให้คนอื่น ๆ ต่อไป ยุงชนิดนี้เป็นยุงที่ออกหากิน (กัดคน) ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน (เดิมยุงลายนิยมออกหากินในเฉพาะเวลากลางวัน แต่ในระยะหลังพบว่ายุงลายมีการออกหากินในเวลากลางคืนด้วย) และชอบเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำนิ่งในบริเวณบ้าน เช่น ตุ่มน้ำ โอ่งน้ำ แจกัน จานรองตู้กับข้าว กระป๋อง ฝากะลา ยางรถยนต์เก่า ๆ หลุมที่มีน้ำขัง เป็นต้น

สาเหตุโรคไข้เลือดออก

การติดเชื้อไวรัสเดงกีมีอาการแสดงได้ 3 แบบ คือ ไข้เดงกี (Denque Fever – DF), ไข้เลือดออก หรือ ไข้เลือดออกเดงกี (Dengue hemorrhagic fever – DHF) และไข้เลือดออกเดงกีที่ช็อก (Denque Shock Syndrome – DSS)

โดยทั่วไปเมื่อได้รับเชื้อเดงกีเข้าไปครั้งแรก (สามารถติดเชื้อตั้งแต่อายุได้ 6 เดือนขึ้นไป) จะมีระยะฟักตัวของโรคจนเกิดอาการประมาณ 3-15 วัน (ส่วนมากคือ 5-7 วัน) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงคล้ายไข้หวัดใหญ่อยู่ประมาณ 5-7 วัน และส่วนมากจะไม่มีอาการเลือดออก มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีเลือดออกหรือมีอาการรุนแรง เรียกว่า “ไข้เดงกี” (Dengue fever – DF) ต่อมาถ้าผู้ป่วยได้รับเชื้อซ้ำอีก ซึ่งอาจจะเป็นเชื้อเดงกีชนิดเดิมหรือคนละชนิดกับที่ได้รับครั้งแรกก็ได้ ก็จะมีระยะฟักตัวของโรคสั้นกว่าครั้งแรก และร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาทำให้หลอดเลือดฝอยเปราะและเกล็ดเลือดต่ำ จึงทำให้พลาสมาหรือน้ำเลือดไหลซึมออกมาจากหลอดเลือด (ตรวจพบระดับฮีมาโตคริตสูง มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอดและช่องท้อง) และมีเลือดออกได้ง่าย เป็นเหตุให้เกิดภาวะช็อก

เชื้อไวรัสเดงกีทั้ง 4 ชนิด จะมี Antigen ร่วมกันบางส่วน เมื่อเกิดการติดเชื้อชนิดหนึ่งจะทำให้เกิดภูมิคุ้มกันต่อเชื้ออีกชนิดหนึ่งด้วย แต่ภูมิที่เกิดจะอยู่ได้เพียง 6-12 เดือน ส่วนภูมิที่เกิดกับเชื้อที่ป่วยจะมีไปตลอดชีวิต เช่น หากเป็นไข้เลือดออกจากเชื้อ DEN-1 ผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อนี้ไปตลอด แต่จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเดงกีชนิดอื่นเพียง 6-12 เดือน ดังนั้น คนเราจึงมีโอกาสติดเชื้อไข้เลือดออกได้หลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่จะมีโอกาสเป็นไข้เลือดออกชนิดรุนแรงเพียงครั้งเดียว หรืออย่างมากไม่ควรเกิน 2 ครั้งในชั่วชีวิต ส่วนที่จะเป็นรุนแรงซ้ำ ๆ กันหลายครั้งนั้นนับว่ามีน้อยมาก

ส่วนใหญ่คนที่ได้รับเชื้อไวรัสเดงกีครั้งแรกมักจะไม่มีอาการหรืออาจมีเพียงไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก และเบื่ออาหารเท่านั้น แต่ในคนที่ติดเชื้อเป็นครั้งที่ 2 โดยเฉพาะเชื้อที่ต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก ผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรงจนเกิดภาวะช็อกได้ และโดยทั่วไปการติดเชื้อครั้งหลัง ๆ ที่ทำให้เกิดอาการรุนแรง มักจะเกิดขึ้นภายหลังการติดเชื้อครั้งแรกประมาณ 6 เดือน ถึง 5 ปี ด้วยเหตุนี้ไข้เลือดออกที่มีอาการรุนแรงจึงมักพบได้ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี

แม้จะได้รับเชื้อเดงกี แต่คนที่จะแสดงอาการไข้มีเพียง 30-50% เท่านั้น ดังนั้น จึงมีคนจำนวนมากที่ติดเชื้อแต่ไม่มีอาการแสดงใด ๆ

อาการของโรคไข้เลือดออก

 

อาการของไข้เลือดออกแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

  • ระยะที่ 1 (ระยะไข้สูง) ผู้ป่วยจะมีไข้สูงเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน 39-41 องศาเซลเซียส มีลักษณะเป็นไข้สูงลอยตลอดเวลา (รับประทานยาลดไข้ก็มักจะไม่ลด) หน้าแดง ตาแดง ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว กระหายน้ำ ซึม มักมีอาการเบื่ออาหารและอาเจียนร่วมด้วยเสมอ อาจคลำพบตับโตและมีอาการกดเจ็บเล็กน้อย ในบางรายอาจมีอาการปวดท้องในบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือชายโครงด้านขวา หรือปวดท้องทั่วไป หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว ส่วนในเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี อาจพบอาการไข้สูงร่วมกับอาการชักได้
    • อาการอื่น ๆ ที่พบได้ คือ อ่อนเพลีย ปวดกระบอกตา เวลากลอกตาจะปวดเพิ่มขึ้น ไม่กล้าสู้แสง ปวดหลัง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดตามข้อ ปวดกระดูก
    • ในช่วง 24-48 ชั่วโมงแรกของการเจ็บป่วย ผู้ป่วยอาจมีอาการผิวหนังแดงบริเวณใบหน้า ลำคอ และหน้าอก สามารถพบได้ประมาณ 50-80% ของผู้ป่วย เกิดจากการที่มีหลอดเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว หากเอามือกดจะมีสีจางลง
      ไข้เลือดออกอาการ
    • ในราววันที่ 3 ของไข้ (หลังอาการผิวหนังแดงหายไป) อาจมีผื่นปื้นแดงคล้ายหัด ไม่คัน ขึ้นตามแขนขา และลำตัว ซึ่งจะเป็นอยู่ประมาณ 2-3 วัน ผื่นชนิดนี้มักจะเริ่มขึ้นที่หลังมือ หลังเท้า แล้วกระจายไปยังแขนขา และลำตัวในภายหลัง แต่มักไม่พบที่บริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ในบางรายอาจพบผื่นลักษณะเป็นจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกที่มีลักษณะเป็นจุดแดงเล็ก ๆ ร่วมด้วย (แต่บางครั้งอาจมีจ้ำเขียวด้วยก็ได้) ขึ้นตามหน้า แขน ขา ซอกรักแร้ และในช่องปาก (เพดานปาก กระพุ้งแก้ม และลิ้นไก่) ซึ่งเป็นตัวบอกว่าเกล็ดเลือดในร่างกายต่ำลง และบางรายอาจมีเลือดออกตามไรฟัน หรือเลือดกำเดาไหลได้
      อาการไข้เลือดออกผื่นไข้เลือดออก
    • ในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีไข้สูงลอยอยู่ประมาณ 2-7 วัน ถ้าไม่มีอาการรุนแรง ส่วนมากไข้จะลดลงในวันที่ 5-7 แต่บางรายอาจมีไข้เกิน 7 วันก็ได้ แต่ถ้าเป็นมากก็จะปรากฏอาการระยะที่ 2
    • ส่วนมากผู้ที่เป็นไข้เลือดออกมักจะไม่ค่อยมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล หรือไอมากอย่างผู้ป่วยที่เป็นไข้หวัดหรือออกหัด แต่ในบางรายอาจมีอาการเจ็บคอ คอแดงเล็กน้อย หรือมีอาการไอบ้างเล็กน้อย
    • การทดสอบทูร์นิเคต์ (Tourniquet test) ส่วนใหญ่จะให้ผลบวกตั้งแต่เริ่มมีไข้ได้ 2 วันเป็นต้นไป และในวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว มักจะพบจุดเลือดออกมากกว่า 10-20 จุดเสมอ
    • ในเด็กที่ป่วยเป็นโรคไข้เลือดออก มักพบว่ามีอาการในระยะเริ่มต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งหากผู้ปกครองละเลยพาไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ก็มีโอกาสที่ผู้ป่วยเด็กจะเสียชีวิตเนื่องจากได้รับการรักษาที่ล่าช้าได้
  • ระยะที่ 2 (ระยะช็อกและมีเลือดออก หรือ ระยะวิกฤติ) มักจะพบในไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเดงกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4 อาการจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของโรค ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่วิกฤติของโรค โดยอาการไข้จะเริ่มลดลง แต่ผู้ป่วยกลับมีอาการทรุดหนัก มีอาการปวดท้องและอาเจียนบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น กระสับกระส่าย เหงื่อออก ตัวเย็น ปลายมือเท้าเย็น ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว (อาจมากกว่า 120 ครั้ง/นาที) และมีความดันต่ำ ซึ่งเป็นอาการของภาวะช็อก (ภาวะนี้เกิดขึ้นเนื่องจากพลาสมาไหลซึมออกจากหลอดเลือด จึงทำให้ปริมาตรของเลือดลดลงมาก) ถ้าเป็นรุนแรง ผู้ป่วยอาจมีอาการไม่ค่อยรู้สึกตัว ตัวเย็นชืด ปากเขียว คลำชีพจรไม่ได้ และความดันตกจนวัดไม่ได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 1-2 วัน
    • ในบางรายอาจมีอาการปวดท้องมาก ท้องโตขึ้น หายใจหอบเหนื่อย เนื่องจากมีน้ำรั่วออกจากหลอดเลือดเข้าสู่ช่องเยื่อหุ้มปอดและช่องท้อง
    • ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เนื่องจากเส้นเลือดเปราะ หรืออาจมีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีกาแฟ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ หรือเป็นสีน้ำมันดิบ ๆ ถ้าเลือดออกมักจะทำให้เกิดภาวะช็อกรุนแรงและผู้ป่วยอาจเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว
    • ในระยะนี้จะกินเวลาประมาณ 24-72 ชั่วโมง ถ้าหากผู้ป่วยสามารถผ่านช่วงวิกฤตินี้ไปได้ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ต่อไป
  • ระยะที่ 3 (ระยะฟื้นตัว) ในรายที่มีภาวะช็อกไม่รุนแรง เมื่อผ่านวิกฤติช่วงระยะที่ 2 ไปแล้ว อาการก็จะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือแม้แต่ผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกรุนแรง เมื่อได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงทีก็จะฟื้นตัวเข้าสู่สภาพปกติ โดยอาการที่แสดงว่าดีขึ้นนั้น คือ ผู้ป่วยจะเริ่มอยากรับประทานอาหาร แล้วอาการต่าง ๆ ก็จะกลับคืนสู่สภาพปกติ ชีพจรเต้นช้าลง ความดันโลหิตกลับมาสู่ปกติ ปัสสาวะออกมากขึ้น
    • ในบางรายอาจพบผื่นซึ่งมีลักษณะจำเพาะขึ้นเป็นวงเล็ก ๆ สีขาว ๆ บนปื้นสีแดงตามผิวหนังอีกที (ดูคล้าย “เกาะสีขาวในทะเลสีแดง” ซึ่งเชื่อว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายกำลังจัดการกับเชื้อ) โดยเฉพาะที่ขาทั้งสองข้าง ผื่นชนิดนี้ส่วนมากจะไม่มีอาการคันและไม่เจ็บ แต่อาจพบอาการคันตามผิวหนังเพียงเล็กน้อยประมาณ 16-27% ของผู้ป่วย หากคันมากอาจใช้คาลาไมน์โลชั่นทาแก้คันได้ ผื่นมักจะหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์ โดยไม่ค่อยทิ้งรอยดำหรือแผลเป็น แต่อาจพบอาการผิวหนังลอกเป็นขุยได้บ้างเล็กน้อย ทั้งนี้ ผื่นชนิดแรก (อาการผิวหนังเป็นปื้นแดง) และชนิดที่สอง (ผื่นเป็นวงขาวเป็นปื้นสีแดง) นี้ ไม่จำเป็นต้องพบคู่กัน
      อาการของไข้เลือดออก
    • ระยะนี้อาจกินเวลาประมาณ 7-10 วัน (หลังจากผ่านพ้นระยะที่ 2 มาแล้ว) ถ้ารวมเวลาตั้งแต่เริ่มป่วยเป็นไข้จนแข็งแรงดีก็จะใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน ส่วนในรายที่มีอาการเพียงเล็กน้อยอาจเป็นอยู่ 3-4 วัน ก็หายได้เอง ส่วนอาการไข้ (ตัวร้อน) อาจเป็นอยู่ 2-7 วัน หรือบางรายอาจนานเป็น 10 วันก็ได้

ระดับความรุนแรงของโรคไข้เลือดออก

 

ไข้เลือดออกสามารถแบ่งระดับความรุนแรงเป็น 4 ขั้น ได้แก่

  • ขั้นที่ 1 (เกรด 1) ผู้ป่วยจะมีไข้และมีอาการแสดงทั่ว ๆ ไปที่ไม่เฉพาะเจาะจง อาการแสดงของการมีเลือดออกมีเพียงอย่างเดียว คือ มีจุดแดง ๆ ตามผิวหนังโดยไม่มีอาการเลือดออกอย่างอื่น และการทดสอบทูร์นิเคต์ให้ผลบวก
  • ขั้นที่ 2 (เกรด 2) ผู้ป่วยจะมีอาการเพิ่มขึ้นจากขั้นที่ 1 คือ มีเลือดออกเอง อาจออกเป็นจ้ำเลือดที่ใต้ผิวหนัง หรือมีเลือดออกจากที่อื่น ๆ เช่น อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด แต่ยังไม่มีภาวะช็อก ชีพจรและความดันโลหิตยังคงเป็นปกติ
  • ขั้นที่ 3 (เกรด 3) ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงของภาวะช็อก เช่น กระสับกระส่าย เหงื่อออก มือเท้าเย็น ชีพจรเต้นเบาแต่เร็ว ความดันต่ำหรือมีความแตกต่างระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่าง ซึ่งเรียกว่า แรงชีพจร หรือ ความดันชีพจร (Pulse pressure) น้อยกว่า 30 มม.ปรอท เช่น ความดันช่วงบน 80 ช่วงล่าง 60
  • ขั้นที่ 4 (เกรด 4) ผู้ป่วยจะมีภาวะช็อกอย่างรุนแรง ชีพจรเบาและเร็วจนจับไม่ได้ ความดันตกจนวัดไมได้ และ/หรือมีเลือดออกมาก เช่น อาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือดมาก

ไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อชิกุนคุนยา (ไข้ปวดข้อยุงลาย) จะมีความรุนแรงในขั้นที่ 1 และ 2 จะไม่ทรุดต่อไปเป็นขั้นที่ 3 และ 4 ส่วนไข้เลือดออกที่เกิดจากเชื้อเดงกี (Dengue virus) อาจมีความรุนแรงถึงขั้นที่ 3 และ 4 ได้ประมาณ 20-30% และที่เหลืออีก 70-80% จะแสดงอาการในขั้นที่ 1 และ 2

การเปลี่ยนแปลงของผู้ป่วยตามขั้นต่าง ๆ จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้น แพทย์จะดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การเปลี่ยนจากขั้นที่ 2 มาขั้นที่ 3 และ 4 ควรจับชีพชร วัดความดันโลหิต และอาจต้องตรวจหาความเข้มข้นของเลือดโดยการเจาะเลือดตรวจฮีมาโตคริต และตรวจนับคำนวณเกล็ดเลือดเป็นระยะ ๆ

ภาวะแทรกซ้อนของโรคไข้เลือดออก

 

โรคไข้เลือดออกเป็นโรครุนแรง แต่โอกาสรักษาให้หายก็มีสูงเมื่อได้รับการตรวจรักษาตั้งแต่แรก หากไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 50% จากการเกิดภาวะแทรกซ้อน

  • เลือดออกตามอวัยวะต่าง ๆ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของโรคไข้เลือดออก ซึ่งมีตั้งแต่ไม่รุนแรง เช่น เลือดออกที่ผิวหนัง เลือดกำเดาไหล ไปจนถึงเลือดออกรุนแรงตามอวัยวะภายในต่าง ๆ เช่น สมอง กระเพาะอาหาร ลำไส้ และปอด ซึ่งมักจะทำให้มีอัตราการเสียชีวิตสูง
  • ภาวะช็อกซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต
  • อาจทำให้เกิดภาวะตับวาย (มีอาการดีซ่าน) ซึ่งเป็นภาวะร้ายแรงที่อาจทำให้เสียชีวิตได้ มักพบในผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกอยู่นาน
  • ภาวะน้ำเกินในร่างกายจนเกิดมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดหรือในช่องท้องมากเกินไป จนทำให้เกิดอาการหอบ หายใจลำบาก ซึ่งภาวะนี้เกิดจากการรั่วไหลของน้ำออกนอกหลอดเลือดในช่วงเข้าสู่ระยะช็อก หากตรวจพบและให้การรักษาได้ทันท่วงที เลือกใช้ชนิดและกำหนดปริมาณน้ำเกลืออย่างเหมาะสมทางหลอดเลือด ผู้ป่วยจะสามารถผ่านพ้นระยะนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
  • อาจทำให้เป็นปอดอักเสบ (อาจมีภาวะมีน้ำในช่องเยื่อหุ้มปอดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้) หลอดลมอักเสบ สมองอักเสบ หรือกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบแทรกซ้อนได้ แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยมาก
  • หากผู้ป่วยไข้เลือดออกได้รับน้ำเกลือเข้าทางหลอดเลือดดำมากเกินไป อาจทำให้เกิดภาวะปอดบวมน้ำ (Pulmonary edema) จนเป็นอันตรายได้ ดังนั้นเวลาให้น้ำเกลือทางหลอดเลือด แพทย์จะตรวจดูอาการผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด
  • ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น ไตวาย สมองทำงานผิดปกติ

การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออก

 

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกได้จากอาการที่แสดงเป็นหลัก โดยเฉพาะอาการไข้สูง 39-41 องศาเซลเซียส หน้าแดง เปลือกตาแดง อาจคลำได้ตับโต กดเจ็บ มีผื่นแดง หรือจุดแดงจ้ำเขียว โดยไม่มีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล ไอ หรือเจ็บคอ ร่วมกับการมีประวัติโรคไข้เลือดออกของคนที่อาศัยอยู่บริเวณเดียวกัน หรือมีการระบาดของโรคในช่วงนั้น ๆ และการทดสอบทูร์นิเคต์ให้ผลบวก ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรคนี้ได้

นอกจากนี้ การส่งตรวจเลือด ซีบีซี (CBC) จะตรวจพบเกล็ดเลือดต่ำ เม็ดเลือดขาวค่อนข้างต่ำและความเข้มข้นของเลือดสูง เพียงเท่านี้ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เป็นส่วนใหญ่แล้ว แต่ในบางราย หากอาการ ผลการตรวจร่างกาย และผลเลือดในเบื้องต้นยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ ในปัจจุบันก็มีวิธีการส่งเลือดไปตรวจหาภูมิคุ้มกันต้านทานต่อเชื้อไวรัสเดงกี ซึ่งจะช่วยทำให้การวินิจฉัยโรคนี้ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น

การทดสอบทูร์นิเคต์ (Tourniquet test) เป็นการทดสอบโดยใช้เครื่องวัดความดันรัดเหนือข้อศอกของผู้ป่วยด้วยค่าความดันกึ่งกลางระหว่างความดันช่วงบนและความดันช่วงล่างของคนคนนั้นเป็นเวลานาน 5 นาที (ถ้าไม่มีเครื่องวัดความดัน ก็อาจใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย ให้ยังพอคลำชีพจรที่ข้อมือได้ เป็นเวลานาน 5 นาที) ถ้าพบว่ามีจุดเลือดออกหรือจุดแดงเกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนใต้ตำแหน่งที่รัดเป็นจำนวนมากกว่า 10 จุดในวงกลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ก็แสดงว่าได้ผลบวก แต่ถ้าน้อยกว่า 10 จุด ก็แสดงว่าได้ผลลบ ซึ่งในผู้ป่วยไข้เลือดออกนี้ การทดสอบจะได้ผลบวกได้มากกว่า 80% ตั้งแต่เริ่มมีไข้ได้ 2 วันเป็นต้นไป แต่ในช่วง 1-2 วันแรกอาจยังให้ผลลบได้ แต่ในคนที่เป็นโรคเลือดที่มีเกล็ดเลือดต่ำ เช่น โลหิตจางอะพลาสติก ไอพีที หรือคนที่เป็นไข้หวัด หรือไข้อื่น ๆ ก็อาจให้ผลบวกได้เช่นกัน ส่วนในผู้ป่วยไข้เลือดออกที่อยู่ในภาวะช็อกหรือกำลังจะช็อก หรือผู้ป่วยที่อ้วนมาก (ความดันที่วัดอาจจะไม่กดทับเส้นเลือด เนื่องจากมีชั้นไขมันที่หนามาก) หรือผู้ป่วยที่ผอมมาก (ความดันที่วัดไม่กระชับวงแขน) การทดสอบนี้อาจให้ผลลบลวงได้

การทดสอบทูร์นิเคต์

ไข้เลือดออกมักแยกออกจากไข้หวัดได้อย่างชัดเจน โดยที่ไข้เลือดออกจะไม่มีอาการคัดจมูกน้ำมูกไหล อาจมีไข้สูงหน้าแดง ตาแดง หรือมีผื่นขึ้นคล้ายหัด แต่ก็สามารถแยกออกจากหัดได้ โดยผู้ป่วยที่เป็นหัดจะมีน้ำมูกและไอมาก และตรวจพบจุดค็อปลิก (Koplik’s spot) ซึ่งเป็นจุดสีขาว ๆ เหลือง หรือแดง ขนาดเล็ก ๆ คล้ายเม็ดงาที่กระพุ้งแก้มด้านในบริเวณใกล้ฟันกรามล่างหรือฟันกรามด้านบนสองซี่สุดท้าย นอกจากนี้อาการไข้สูงโดยไม่มีน้ำมูก ยังอาจทำให้ดูคล้ายไข้หวัดใหญ่ ไทฟอยด์ มาลาเรีย ไข้ผื่นกุหลาบในทารก ตับอักเสบจากไวรัสระยะแรก โรคฉี่หนู เป็นต้น

ในช่วงฤดูฝนหรือในช่วงที่มีการระบาดของไข้เลือดออก ถ้าพบผู้ที่มีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ไม่ว่าจะเด็กเล็กหรือผู้ใหญ่ ควรทดสอบทูร์นิเคต์ หรือตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อพิสูจน์ไข้เลือดออกทุกราย

 

วิธีรักษาโรคไข้เลือดออก

 

ในปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคไข้เลือดออกโดยตรง หากอาการไม่รุนแรงโรคนี้จะหายได้เอง ดังนั้น การรักษาจึงเป็นเพียงการรักษาไปตามอาการเป็นสำคัญ กล่าวคือ ให้ยาลดไข้ เช็ดตัว ให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันภาวะช็อก และการรักษาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น

  • หากมีอาการไข้สูง โดยไม่มีอาการไอ เจ็บคอ หรือมีน้ำมูกไหลร่วมด้วย ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาและตรวจหาโรคไข้เลือดออก โดยเฉพาะหากพบในช่วงฤดูฝนหรือช่วงที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก
  • ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง (มีอาการในขั้นที่ 1) คือมีแต่อาการไข้สูง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร โดยยังไม่มีอาการเลือดออกหรือมีภาวะช็อก แพทย์จะให้ยาลดไข้ ยาผงเกลือแร่ (ORS) เพื่อป้องกันภาวะช็อก และให้กลับไปสังเกตอาการที่บ้าน จากนั้นก็จะนัดผู้ป่วยกลับมาติดตามดูอาการที่โรงพยาบาลเป็นระยะ ๆ โดยที่ผู้ป่วยไม่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่ต้องฉีดยาให้น้ำเกลือ หรือให้ยาพิเศษแต่อย่างใด รวมทั้งไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะและสเตียรอยด์ พร้อมทั้งแนะนำให้ปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
    1. ให้ผู้ป่วยนอนพักผ่อนให้มาก ๆ ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทดี
    2. ให้ดื่มน้ำมาก ๆ จนปัสสาวะออกมากและใส โดยอาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำอัดลมที่เขย่าฟองออกแล้ว หรือผงละลายเกลือแร่ (ORS) ก็ได้ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำจากไข้สูง และจากการรั่วของน้ำออกนอกหลอดเลือด ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้ผู้ป่วยมีความดันโลหิตต่ำลงและเข้าสู่ภาวะช็อกได้
    3. ให้รับประทานอาหารอ่อน ๆ ที่ย่อยง่าย ๆ เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ถ้าเบื่ออาหารหรือรับประทานอาหารได้น้อย แนะนำให้ดื่มนม น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่ ถ้าอาเจียนแนะให้ดื่มน้ำเกลือแร่ครั้งละน้อย ๆ แต่บ่อย ๆ
    4. รับประทานผลไม้ที่มีวิตามินซี หรือรับประทานวิตามินซีเสริม
    5. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัดทุกชนิด เพราะอาจระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร และหลีกเลี่ยงอาหารหรือน้ำที่มีสีดำ สีน้ำตาล หรือสีแดง เพราะอาจทำให้สับสนกับภาวะเลือดออกในทางเดินอาหารได้หากผู้ป่วยอาเจียน
    6. หลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่นโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาสเตียรอยด์ ยาปฏิชีวนะ รวมไปถึงการฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ
    7. หากมีไข้สูงให้ใช้ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำอุ่นบิดพอหมาด ๆ เช็ดบริเวณหน้า ลำตัว แขนขา แล้วพัก และเช็ดต่อที่บริเวณรักแร้ แผ่นอก แผ่นหลัง ขาหนีบสลับกันไปมา โดยให้ทำติดต่อกันอย่างน้อย 15 นาที ระหว่างเช็ดตัวหากมีอาการหนาวสั่นก็ให้หยุดและห่มผ้าบาง ๆ และให้รับประทานยาลดไข้พาราเซตามอล (Paracetamol) เท่านั้น โดยควรพยายามให้อุณหภูมิของร่างกายต่ำ 
 

https://www.honestdocs.co/dengue-fever


ริดสีดวงทวาร

 

ริดสีดวง (Hemorrhoids หรือ Piles) เป็นภาวะที่หลอดเลือดดำที่มีอยู่ตามธรรมชาติของคนทั่วไปในบริเวณทวารหนักเกิดการปูดพอง (ขอด) เป็นหัว หรือที่เรียกว่า “หัวริดสีดวง” แล้วมีการปริแตกของผนังหลอดเลือดในขณะเบ่งถ่ายอุจจาระ จึงทำให้มีเลือดออกเป็นครั้งคราว โดยมักจะมีอาการของโรคเกิดขึ้นในเวลาท้องผูกหรือเกิดท้องเดินบ่อยครั้ง ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีอาการรุนแรงหรืออันตราย โดยอาจจะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง น่ารำคาญ หรือทำให้วิตกกังวลได้

หัวริดสีดวงที่พบอาจมีเพียงหัวเดียวหรือมีหลายหัวก็ได้ ถ้าเกิดจากหลอดเลือดดำที่อยู่ใต้ผิวหนังตรงปากทวารหนักจะเรียกว่า “ริดสีดวงภายนอก” (External Hemorrhoids) ซึ่งอาจมองเห็นจากภายนอกได้ แต่ถ้าเกิดจากหลอดเลือดอยู่ลึกเข้าไปจะเรียกว่า “ริดสีดวงภายใน” (Internal hemorrhoids) ซึ่งจะตรวจพบได้เมื่อใช้กล้องส่องตรวจไส้โดยตรง

โรคริดสีดวงทวาร โดยตัวมันเองแล้วไม่ใช่โรคที่ร้ายแรง มักไม่เป็นสาเหตุทำให้เสียชีวิต แต่อาจทำให้เป็นเรื้อรัง เป็น ๆ หาย ๆ ได้ ถ้ายังไม่สามารถควบคุมสาเหตุหรือปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ได้ โดยจะมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด และแม้ว่าจะเคยผ่าตัดรักษาริดสีดวงมาแล้ว ก็อาจจะเกิดริดสีดวงหัวใหม่ ทำให้มีเลือดออกได้อีก

  • โรคริดสีดวงทวารทั้งภายนอกและภายในอาจปรากฏให้เห็นต่างกัน แต่ในหลาย ๆ รายก็พบว่ามีอาการของทั้งสองประเภท
  • ริดสีดวงทวารเป็นโรคที่พบได้บ่อย มักพบเป็นสาเหตุอันดับต้น ๆ ของอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ ในสหรัฐอเมริกาพบว่า มีผู้ป่วยเป็นโรคนี้ประมาณ 5% ของประชากรผู้ใหญ่ทั้งหมด โดยจะพบได้มากในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุระหว่าง 45-65 ปี แต่อาจพบได้ในเด็กและในช่วงวัยอื่น ๆ ทุกอายุได้ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสาเหตุที่เกิดเป็นหลัก (บางรายงานเชื่อว่า อย่างน้อยร้อยละ 50 ของประชากรชาวอเมริกันเป็นโรคริดสีดวงทวารในระยะแสดงอาการช่วงหนึ่งในชีวิต และประมาณร้อยละ 50 เมื่อเป็นแล้วจะกลับมาเป็นซ้ำอีก ไม่ว่าจะเป็นเพศชายหรือเพศหญิงก็มีอัตราการเป็นโรคนี้พอ ๆ กัน)
  • หลายคนรู้สึกอายที่เป็นโรคริดสีดวงทวาร บ่อยครั้งกว่าจะไปพบแพทย์ได้ก็เมื่อเป็นเอามาก ๆ แล้ว ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการกินยา

สาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร

 

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดโรคริดสีดวงทวาร คือ หลอดเลือดดำที่อยู่ใต้เยื่อเมือกและผิวหนังในบริเวณทวารหนักเกิดการปูดพองเป็นหัว เพราะมีภาวะความดันในหลอดเลือดดำสูงจากสาเหตุต่าง ๆ ได้แก่

  1. การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย
  2. ภาวะท้องผูกเรื้อรัง ทำให้ต้องเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นประจำ แรงเบ่งจะเพิ่มความดัน และ/หรือทำให้เกิดการเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด จนส่งผลให้หลอดเลือดโป่งพองหรือหลอดเลือดขอดได้ง่าย
  3. ท้องเดิน ท้องเสียเรื้อรัง การถ่ายอุจจาระบ่อย ๆ แรงเบ่งจะเป็นการเพิ่มความดัน และ/หรือทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดได้เช่นกัน
  4. อุปนิสัยในการเบ่งอุจจาระ เช่น ชอบเบ่งอุจจาระแรง ๆ หรือพยายามขับอุจจาระก้อนสุดท้ายออกไปให้ได้
  5. การเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน จากการเล่นโทรศัพท์มือถือหรืออ่านหนังสือในขณะขับถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงการนั่งแช่ การยืน หรือเดินเป็นเวลานาน ๆ เพราะจะทำให้เกิดการกดทับกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความดัน และ/หรือทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด
  6. การชอบใช้ยาสวนอุจจาระหรือยาระบายอย่างพร่ำเพรื่อ
  7. ภาวะตั้งครรภ์ เพราะน้ำหนักของครรภ์จะกดทับลงบนกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลกลับหัวใจได้ลดลง จึงเกิดการคั่งอยู่ในหลอดเลือดและเกิดหลอดเลือดบวมพองตามมา
  8. น้ำหนักตัวมาก (โรคอ้วน) มีผลให้แรงดันในช่องท้องและในอุ้งเชิงกรานเพิ่มสูงขึ้น เลือดจึงคั่งในกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดได้เช่นเดียวกับสตรีตั้งครรภ์
  9. อายุมาก (ผู้สูงอายุ) ผู้สูงอายุมักจะมีการเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ รวมทั้งความเสื่อมของกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือด จึงทำให้หลอดเลือดโป่งพองได้ง่ายกว่าปกติ
  10. การมีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะจะทำให้เกิดการกดเบียดทับหรือเกิดการบาดเจ็บต่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดส่วนนี้อย่างเรื้อรัง มีผลทำให้เลือดไปคั่งอยู่ในหลอดเลือด จึงเกิดหลอดเลือดโป่งพองได้ง่าย
  11. อาการไอเรื้อรัง มีผลเพิ่มแรงดันในช่องท้อง
  12. โรคแต่กำเนิดที่ไม่มีลิ้นปิดเปิด (Valve) ในหลอดเลือดดำในเนื้อเยื่อหลอดเลือดซึ่งช่วยในการไหลเวียนเลือด มีผลทำให้เกิดภาวะเลือดคั่งอยู่ภายในหลอดเลือด จึงเกิดหลอดเลือดโป่งพองได้ง่าย
  13. เกิดร่วมกับโรคอื่น ๆ นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ริดสีดวงทวารยังอาจพบร่วมกับโรคในช่องท้องอื่น ๆ ได้ เช่น ก้อนเนื้องอกในท้อง (เช่น เนื้องอกมดลูก เนื้องอกหรือถุงน้ำรังไข่), มะเร็งลำไส้ใหญ่ (อาจทำให้มีอาการของริดสีดวงทวารได้ ดังนั้น ถ้าพบว่ามีเลือดออกนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือพบในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ควรแนะนำให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อความแน่ใจ), ต่อมลูกหมากโต, ตับแข็ง (เพราะทำให้มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำตับสูง ซึ่งส่งผลกระทบมาที่หลอดเลือดดำที่ทวารหนัก) เป็นต้น
  14. ไม่ทราบสาเหตุหรืออาจมีสาเหตุมาจากพันธุกรรม โดยพบว่าผู้ที่มีประวัติในครอบครัวเป็นริดสีดวงทวารหนัก จะมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้สูงกว่าคนปกติทั่วไป

ชนิดของโรคริดสีดวงทวาร

 

ทวารหนักเป็นส่วนติดต่อมาจากลำไส้ใหญ่และมาเปิดออกนอกร่างกาย มีความยาวประมาณ 4 เซนติเมตร และถูกแบ่งครึ่งออกเป็น 2 ส่วน ด้วยเส้นรอบวงที่เรียกว่า “แนวเส้นประสาท” หรือ “แนวรอยต่อระหว่างปลายลำไส้กับทวารหนัก” (Dentate Line หรือ Pectinate Line) ส่วนที่อยู่เหนือแนวเส้นประสาทจะเรียกว่า “รูทวารหนัก” (Anal canal) ซึ่งจะไม่มีเส้นประสาทรับความเจ็บปวดมาเลี้ยงที่ผนังของรูทวารหนักปกติ แต่จะมีก้อนเนื้อนูนออกมาเป็นระยะโดยรอบ หรือที่เรียกว่า “เบาะรอง” (Cushion) ซึ่งภายในจะมีกลุ่มเส้นเลือดและกล้ามเนื้ออยู่

  1. โรคริดสีดวงทวารแบบภายนอก (External hemorrhoids) จะปกคลุมไปด้วยชั้นผิวหนัง เกิดขึ้นในบริเวณใต้แนวเส้นประสาท (Pectinate Line) ซึ่งจะมีเส้นประสาทรับความรู้สึกเจ็บปวดมาเลี้ยง เรียกว่า “ปากทวารหนัก” (Anal margin) เมื่อเบาะรองจากบริเวณรูทวารหนักเลื่อนตัวลงมาเรื่อย ๆ จนถึงปากทวารหนัก ก็จะดันกลุ่มเส้นเลือดและเนื้อเยื่อของปากทวารหนักให้เลื่อนต่ำลงและเบียดออกไปด้านข้างจนกลายเป็นก้อนนูนที่ปากทวารหนัก
    ริดสีดวงภายนอก
  2. โรคริดสีดวงทวารแบบภายใน (Internal hemorrhoids) จะปกคลุมด้วยเยื่อบุลำไส้ เกิดขึ้นในบริเวณเหนือแนวเส้นประสาท (Pectinate Line) หรือที่รูทวารหนัก ซึ่งจะไม่มีเส้นประสาทรับความเจ็บปวดมาเลี้ยงที่ผนังของรูทวารหนักปกติ ผู้เป็นริดสีดวงแบบนี้จึงมักไม่มีอาการเจ็บปวด และผู้ที่เป็นส่วนใหญ่ก็มักไม่ให้ความสนใจแม้จะรู้ตัวว่าเป็น ถ้ารักษาไม่หายก็สามารถเป็นริดสีดวงทวารได้ 2 แบบ คือ แบบมีก้อนยื่นออกทวาร (Prolapsed hemorrhoids) หรือแบบบีบรัด (Strangulated hemorrhoids) ถ้าหูรูดทวารหนักหดตัวและบีบก้อนหัวริดสีดวงจนขาดเลือดไปเลี้ยง ริดสีดวงก็จะกลายเป็นแบบบีบรัด
    ริดสีดวงภายในนอกจากนี้ริดสีดวงแบบภายในยังสามารถแบ่งตามระยะความรุนแรงของโรคได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้

     

    • ระยะที่ 1 หลอดเลือดที่โป่งพอง ยังเกิดอยู่ภายในทวารหนักและลำไส้ตรง และยังไม่มีหัวริดสีดวงโผล่ออกมา (สามารถรักษาโดยการให้ยา หรือฉีดยาเข้าไปในตำแหน่งที่มีเลือดออกได้)
    • ระยะที่ 2 หัวริดสีดวงปลิ้นโผล่ออกมาอยู่ที่ปากทวารหนักในขณะถ่ายอุจจาระ แต่หัวที่โผล่ออกมานี้สามารถกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้เองหลังจากขับถ่ายอุจจาระเสร็จ (สามารถใช้วิธียิงยางรัดโคนหรือหัวของริดสีดวงที่โผล่ออกมาได้ ซึ่งจะทำให้หัวริดสีดวงนั้นฝ่อและหลุดออกไปเอง)
    • ระยะที่ 3 หัวริดสีดวงจะไม่สามารถกลับเข้าไปภายในทวารหนักเองได้หลังจากขับถ่ายอุจจาระเสร็จ แต่ยังสามารถใช้นิ้วดันกลับเข้าไปภายในทวารหนักได้
    • ระยะที่ 4 หัวริดสีดวงจะกลับเข้าไปภายในทวารหนักไม่ได้ และจะค้างอยู่ที่ปากทวารหนัก ถึงแม้จะใช้นิ้วช่วยดันแล้วก็ตาม ซึ่งในระยะนี้ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดมากและต้องรีบไปพบแพทย์ด่วน ก่อนที่หัวริดสีดวงจะเน่าตายจากการขาดเลือด (สำหรับระยะที่ 3-4 สามารถรักษาได้ด้วยวิธีการผ่าตัดทั่วไป)

อาการของริดสีดวงทวาร

 

  1. อาการของโรคริดสีดวงภายนอก คือ
    • มีติ่งเนื้อสีชมพูคล้ำออกมาจากปากทวารหนักเมื่อมีอาการท้องผูกหรือท้องเสีย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวด บวม เจ็บ และระคายเคือง (ถ้าไม่เกิดลิ่มเลือดอุดตัน ก็อาจจะไม่ก่อปัญหาอะไรมากนัก)
    • หากมีลิ่มเลือดเกิดขึ้นในหลอดเลือดที่โป่งพองจะก่อให้เกิดอาการปวด บวม เจ็บมากขึ้น (แต่มักจะไม่ค่อยพบว่ามีเลือดออกจากติ่งเนื้อนี้) ซึ่งปกติแล้วจะหายเจ็บได้ภายใน 2-3 วัน อย่างไรก็ตาม กว่าจะหายบวมอาจต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ เมื่อหายดีแล้วอาจจะยังมีผิวหนังเป็นติ่งเหลืออยู่ และหากหัวริดสีดวงมีขนาดใหญ่ก็อาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือคันบริเวณรอบปากทวารหนักได้ด้วย
  2. อาการของโรคริดสีดวงภายใน คือ
    • ส่วนมากจะมีอาการเลือดออกทางทวารหนัก โดยไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด ซึ่งจะเกิดขึ้นในระหว่างหรือหลังจากถ่ายอุจจาระเสร็จ เลือดที่ออกมานั้นจะมีลักษณะเป็นเลือดสีแดงสด ออกปนมากับอุจจาระ หรือมีเลือดไหลหยดลงในโถส้วม และอาจสังเกตว่ามีเลือดเปื้อนบนกระดาษชำระ (เลือดจะออกมาในลักษณะอาบก้อนอุจจาระ ส่วนตัวก้อนอุจจาระยังเป็นสีของมันตามปกติ ไม่มีมูกปน และเลือดมักจะหยุดไหลได้เอง) ซึ่งอาการเหล่านี้จะมีลักษณะเป็น ๆ หาย ๆ ถ้ามีเลือดออกมากหรือเป็นเรื้อรัง อาจทำให้เกิดอาการซีดตามมาได้
    • ในรายที่เป็นมาก หลอดเลือดจะบวมมาก ทำให้หัวริดสีดวงโผล่ออกมานอกปากทวารหนัก หรือเห็นเป็นก้อนเนื้อนิ่ม ๆ ปลิ้นโผล่ออกมา ซึ่งในภาวะเช่นนี้จะก่อให้เกิดอาการปวดหรือเจ็บที่ทวารหนักได้ (ถ้าเกิดลิ่มเลือดอุดตันขึ้น ริดสีดวงกลายเป็นก้อนแข็ง หรือเกิดภาวะเซลล์ตายจะทำให้มีอาการเจ็บปวดได้) และอาจจะทำให้เกิดอาการคันและอาการกลั้นอุจจาระไม่อยู่ได้ด้วยเช่นกัน

การวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวาร

 

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคริดสีดวงทวารได้จากการดูประวัติอาการ การตรวจร่างกาย โดยการตรวจก้อนเนื้อบริเวณทวารหนัก (อาจคลำได้ก้อนเนื้อนุ่ม ๆ สีคล้ำ ๆ ที่ปากทวารหนัก) และจากการส่องกล้องตรวจทางทวารหนักและลำไส้โดยตรง แต่ในบางกรณีอาจมีการตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจทางพยาธิวิทยาด้วย เมื่อต้องแยกจากโรคมะเร็ง

ข้อควรรู้ : ปัญหาบริเวณปลายลำไส้และทวารหนักบางอย่าง อาจมีอาการคล้ายคลึงกัน ทำให้อาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นโรคริดสีดวงได้ เช่น แผลปริ แผลชอนทะลุ มะเร็งลำไส้ตรง เส้นเลือดขอดบริเวณลำไส้ตรง และอาการคัน ส่วนอาการเลือดออกก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกันจากสาเหตุของมะเร็งลำไส้ ในกรณีที่เป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบ, โรคลำไส้อักเสบโดยไม่ทราบสาเหตุ, โรคถุงลำไส้ใหญ่ และความผิดปกติของเส้นเลือด และสำหรับภาวะอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดก้อนเนื้อบริเวณปากทวารหนักได้ก็มีหลายอย่าง เช่น ผิวหนังเป็นติ่ง, หูดทวารหนัก, ติ่งเนื้อ, ลำไส้ตรงเลื่อน, ปุ่มพองออกบริเวณทวารหนัก, เส้นเลือดขอดบริเวณลำไส้ตรงกับทวารหนัก ซึ่งเกิดจากภาวะความดันโลหิตสูงในเส้นเลือดหลักเพิ่มขึ้น อาจแสดงอาการให้เห็นคล้ายคลึงกับโรคริดสีดวงทวาร แต่เป็นภาวะอีกอย่างหนึ่งต่างหาก

ผลข้างเคียงของโรคริดสีดวงทวาร

 

  • ภาวะซีด เมื่อมีเลือดออกจากกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดอย่างต่อเนื่องและเรื้อรัง หรือบางครั้งที่มีเลือดออกมากและไม่สามารถหยุดได้เอง อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจางได้ จำเป็นต้องรีบไปพบแพทย์เป็นการด่วน (สำหรับอาการเลือดออกมากจนเป็นสาเหตุให้เกิดโรคโลหิตจาง ค่อนข้างจะพบได้น้อย ส่วนอาการที่มีเลือดออกมากจนทำให้เสียชีวิตนั้นก็มีน้อยเข้าไปใหญ่ ฉะนั้นอย่าเป็นกังวลมากเกินไปครับ)
  • เกิดภาวะกลั้นอุจจาระไม่อยู่ ทั้งนี้เป็นเพราะกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดจะทำหน้าที่ช่วยการปิดตัวของหูรูดปากทวารหนักในช่วงที่ยังไม่ถ่ายอุจจาระ แต่เมื่อเกิดหลอดเลือดโป่งพอง หูรูดปากทวารหนักจะปิดไม่สนิท จึงทำให้เกิดการกลั้นอุจจาระไม่อยู่ตามมา
  • การติดเชื้อ อาจทำให้เกิดเป็นฝีหรือหนองในบริเวณก้นได้
  • เมื่อกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดปลิ้นออกมานอกทวารหนักในระยะที่ 4 จะเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดขาดเลือดและเกิดการเน่าตายของเนื้อเยื่อหลอดเลือดได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอาการเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ซึ่งในกรณีนี้จัดเป็นภาวะฉุกเฉินที่ควรรีบไปพบแพทย์ด้วยเช่นกัน
 

วิธีรักษาริดสีดวงทวาร

 

  • การรักษาแบบประคับประคองอาการ ได้แก่ การปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่อการเพิ่มความดันในกลุ่มเนื้อเยื่อหลอดเลือดที่เป็นสาเหตุของโรคริดสีดวงทวาร และการใช้ยาต่าง ๆ ซึ่งมักใช้ในกรณีที่เป็นริดสีดวงทวาร โดยไม่มีสาเหตุที่ร้ายแรง
    1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น การใส่ยาทาบริเวณหัวริดสีดวง การเหน็บยา หรือการกินยาต่าง ๆ ตามที่แพทย์สั่ง
    2. ระวังอย่าให้ท้องผูกหรือท้องเดินบ่อย ๆ ผู้ป่วยควรรับประทานผักผลไม้ที่มีกากใยสูง ๆ ให้มาก ๆ เช่น แอปเปิ้ล ฝรั่ง มะละกอสุก รวมถึงการกินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทกากใย เพื่อป้องกันอาการท้องผูก และดื่มน้ำให้มาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับถ่ายออกได้ง่าย ถ้ายังมีอาการท้องผูกอีกให้กินยาระบาย เช่น ยาระบายแมกนีเซียม, ดีเกลือ, อีแอลพี, สารเพิ่มกากใย
    3. ฝึกขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา ไม่กลั้น และไม่เบ่งอุจจาระ
    4. หลีกเลี่ยงการนั่งเบ่งถ่ายเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงการยืน การเดิน และการนั่งแช่เป็นเวลานาน ๆ
    5. พยายามฝึกไม่เบ่งอุจจาระ
    6. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารรสจัด รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด เพราะจะทำให้โรคริดสีดวงทวารเป็นมากขึ้นได้
    7. ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก ควรหาวิธีลดความอ้วนอย่างเหมาะสมและหลีกเลี่ยงการยกของหนัก
    8. เมื่ออุจจาระหรือปัสสาวะเสร็จ ควรล้างก้นด้วยน้ำอุ่น ๆ หรือน้ำสะอาด พยายามรักษาความสะอาดอยู่เสมอ ไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ แต่ถ้าอยากใช้สบู่ ก็ควรเป็นสบู่เด็กอ่อนเพื่อลดการระคายเคืองของหัวริดสีดวงที่กำลังบวมหรือมีการอักเสบอยู่ (ไม่ควรทำความสะอาดด้วยกระดาษชำระแบบแข็ง แต่ควรใช้วิธีชุบน้ำ หรือใช้กระดาษชำระชนิดเปียกแทน)
    9. ถ้าหัวริดสีดวงหลุดออกมาข้างนอก ให้ใส่ถุงมือแล้วใช้ปลายนิ้วชุบสบู่ให้หล่อลื่น แล้วดันหัวกลับเข้าไปใหม่ ซึ่งจะช่วยได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ถ้าไม่ได้ผล แนะนำให้ไปพบแพทย์
    10. ถ้ามีอาการคันให้ยาทาลดคันร่วมด้วย
    11. ในกรณีที่มีอาการปวดมาก ๆ เนื่องจากเกิดการอักเสบให้กินยาแก้ปวด นั่งแช่ในน้ำอุ่นจัด ๆ ครั้งละ 15-30 นาที วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดบวม และใช้ยาเหน็บริดสีดวงทวาร โดยเหน็บวันละ 2-3 ครั้ง เช้า ก่อนนอน และหลังจากถ่ายอุจจาระเสร็จ จนกว่าอาการจะบรรเทา ซึ่งปกติจะใช้เวลาประมาณ 10 วัน
    12. เมื่อมีก้อนเนื้อบวมออกมาบริเวณก้น อาจใช้วิธีประคบด้วยน้ำเย็น ซึ่งวิธีนี้อาจช่วยลดอาการบวมลงได้บ้าง
    13. ถ้ามีเลือดออกนานกว่า 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ หรือพบในคนที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป หรือสงสัยว่ามีโรคอื่นร่วมด้วย แนะนำว่าควรไปตรวจที่โรงพยาบาล โดยแพทย์อาจต้องใช้กล้องส่องตรวจไส้ตรง (Proctoscopy) ถ้าหากสงสัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็อาจจะต้องเอกซเรย์ลำไส้ใหญ่ด้วยการสวนแป้งแบเรียม (Barium enema) ด้วย หรือใช้กล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)
      เมื่อมีเลือดออกมาก ให้ใช้ผ้าขนหนูสะอาดกดบริเวณก้นเอาไว้ให้แน่น แต่ถ้าเลือดยังไม่หยุดไหล ควรรีบไปแพทย์เป็นการด่วน
      หากเกิดภาวะซีดควรรับประทานยาบำรุงโลหิตวันละ 3 ครั้ง (ครั้งละ 1 เม็ด)
    14. ไปพบแพทย์ตามนัดอยู่เสมอ และควรรีบไปพบก่อนนัดเมื่อมีอาการผิดปกติไปจากเดิม หรือเมื่อมีความกังวลในอาการที่เป็นอยู่ หรือเมื่ออาการต่าง ๆ เลวร้ายลง เช่น เมื่อมีเลือดออกทางก้นไม่หยุด หรือเมื่อหัวริดสีดวงไม่สามารถกลับเข้าไปในทวารได้ (อย่าพยายามออกแรงดันหัวริดสีดวงมากจนเกินไป เพราะจะทำให้หัวริดสีดวงได้รับบาดเจ็บและบวมมากขึ้น)
  • การรักษาทางศัลยกรรม (หากใช้วิธีการรักษาแบบประคับประคองมาแล้วแต่ไม่ได้ผล) ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ข้อบ่งชี้ และดุลยพินิจของแพทย์
    1. การฉีดยาเข้าที่หัวริดสีดวงทวาร ตัวยาจะทำให้หลอดเลือดดำฝ่อและหัวริดสีดวงยุบไป มักใช้กับโรคริดสีดวงในระยะที่ 2 วิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย ไม่มีความเจ็บปวด แพทย์มักจะนัดมาฉีดสัปดาห์ละครั้งประมาณ 3-5 ครั้ง สามารถช่วยให้หายขาดได้ประมาณ 60-70%
    2. การรักษาโดยวิธีใช้ยางรัด (Rubber band ligation) หรือยิงยางรัดโคนหรือหัวของริดสีดวงที่โผล่ออกมา ซึ่งจะทำให้หัวของริดสีดวงนั้นฝ่อและหลุดออกไปเองภายใน 5-7 วัน วิธีจะใช้ได้ผลดีในระยะ 2 โดยเฉพาะเมื่อหัวริดสีดวงมีขนาดใหญ่ ผู้ป่วยมักไม่มีอาการเจ็บปวด แต่หากรัดยางใกล้กับแนวเส้นประสาทมากเกินไป จะส่งผลให้เกิดความรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงทันที
    3. การทำลายเนื้อเยื่อด้วยการเผา เป็นวิธีการรักษาที่ใช้กับโรคริดสีดวงระยะที่ 2 แต่ยังไม่เป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย โดยปกติแล้วแพทย์จะใช้เฉพาะเมื่อวิธีอื่นไม่ได้ผล ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ได้แก่ การเผาเนื้อเยื่อด้วยการใช้ไฟฟ้าจี้, การฉายรังสีอินฟราเรด, การใช้แสงเลเซอร์ผ่าตัด, การผ่าตัดด้วยการใช้ความเย็น เป็นต้น (การทำลายเนื้อเยื่อด้วยแสงอินฟราเรดอาจเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับกรณีที่เป็นโรคในระยะที่ 1-2 ส่วนระยะที่ 3-4 การกลับมาเป็นซ้ำจะมีอัตราที่สูง)
    4. การผ่าตัดริดสีดวงทวาร มักทำให้กรณีที่เป็นมากแล้วในระยะที่ 3-4 หรือเมื่อมีลิ่มเลือด หรือมีการขาดเลือดของริดสีดวงทวาร ความจริงแล้วการผ่าตัดริดสีดวงไม่ใช่เรื่องน่ากลัว และไม่เจ็บในขณะผ่าตัด เพราะแพทย์จะให้ยาสลบหรือฉีดยาชาเข้าไขสันหลังก่อนเสมอ หลังการผ่าตัดผู้ป่วยอาจมีอาการเจ็บปวดบ้าง แต่ก็ไม่มากมายแต่อย่างใด และสามารถระงับได้ด้วยการรับประทานยาแก้ปวด นอนพักฟื้นในโรงพยาบาลประมาณ 3-4 วันก็กลับบ้านได้ ที่ผมกล่าวมานี้คือวิธีการรักษาแบบเดิม ๆ ครับ แต่ในปัจจุบันพบว่า ผู้ป่วยสามารถผ่าตัดได้โดยการฉีดยาชาเฉพาะที่รอบรูทวารหนักเท่านั้น ไม่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษใด ๆ ร่วมด้วย แต่อาจมีการฉีดยาหรือรับประทานยาแก้ปวดก่อนการผ่าตัด วิธีนี้จะทำให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็ว ปวดแผลน้อยมากหรือไม่ปวดเลย ที่สำคัญก็คือไม่จำเป็นต้องนอนพักที่โรงพยาบาล และสามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 ชั่วโมงหลังการผ่าตัด ซึ่งวิธีที่ว่านี้ก็คือ การใช้อุปกรณ์พิเศษ เช่น Ligasure หรือ Harmonic scalpel ในการตัดริดสีดวงทวารแต่ละตำแหน่งโดยไม่ต้องใช้ไหมเย็บ หรืออาจเย็บแผลเพียง 1-2 แห่ง และอีกวิธีคือการใช้เครื่องมือตัดต่อเยื่อบุลำไส้ชนิดกลมหรือเครื่องตัดเย็บอัตโนมัติ (Stapled haemorrhoidopexy) ซึ่งเป็นการผ่าตัดริดสีดวงและเย็บบาดแผลไปด้วยในเวลาเดียวกันแบบอัตโนมัติ ทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดจากการผ่าตัดน้อยมาก มักใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีริดสีดวงหลายตำแหน่ง (อย่างน้อย 3 ตำแหน่ง)

ข้อควรระวัง : การใช้ยากัดริดสีดวงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะอาจก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนรุนแรงตามมาได้ เช่น ทวารหนักเน่า หรือตีบตัน

วิธีป้องกันโรคริดสีดวงทวาร

 

  1. ทางที่ดีที่สุดในการป้องกันคือ ทำให้อุจจาระไม่แข็งและผ่านไปได้โดยง่าย ด้วยการรับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูง ๆ ให้มาก ๆ ระวังอย่าให้ท้องผูก
  2. ดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว เพื่อช่วยให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับถ่ายออกได้ง่าย
  3. ฝึกเข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา ไม่กลั้นอุจจาระ (ขับถ่ายโดยไวเมื่อรู้สึกปวดอุจจาระ)
  4. หลีกเลี่ยงการนั่งเบ่งถ่ายอุจจาระเป็นเวลานาน ๆ (ให้ใช้เวลาให้น้อยที่สุดในขณะเบ่งถ่าย และหลีกเลี่ยงการเล่นโทรศัพท์มือถือและอ่านหนังสือในขณะขับถ่าย)
  5. ระวังอย่าให้เกิดอาการท้องร่วง ท้องเดิน หรือท้องเสียบ่อย ๆ
  6. ในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (อ้วน) ควรหาวิธีลดความอ้วนอย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงการยกของหนัก
  7. ออกกำลังกายให้เพียงพอ พยายามเคลื่อนไหวร่างกายอยู่เสมอ เช่น การเดิน



จำนวนที่เข้าชม : 2544   [ คลิกขึ้นบน ]


5 blog ล่าสุด

      Slice Masters: Slicing Fun for Gamers of All Stripes! By :valleyc [ 23 / เม.ย. / 2567 ] 
      Mastering the Trails: A Guide to Conquering Hill Climb Racing By :metrophobic [ 10 / เม.ย. / 2567 ] 
      Discover Real Goa Escorts & Call Girls Services By :priyanka0 [ 2 / เม.ย. / 2567 ] 
      Arlo Doorbell Troubleshooting Guide: Solutions and Support By :hellfire123 [ 30 / พ.ย. / 2566 ] 
      Troubleshooting Spectrum Router Issues: Login, Setup, and Support Guide By :hellfire123 [ 30 / พ.ย. / 2566 ] 


ความคิดเห็นที่ 1
ศุกร์ ที่ 28 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2565 เวลา 18:38:44
Billie Eilish - the youngest person and second person ever to win the four main Grammy categories, was born in December 18, 2001, find out more about her net worth on celeb networth
Post by : Graham    IP : 113.177.22.81

ความคิดเห็นที่ 2
เสาร์ ที่ 1 เดือน กรกฏาคม พ.ศ.2566 เวลา 15:27:48
Thank you for sharing this informative article. I appreciate the depth of research and the clarity of your writing magic tiles 3. It provided a comprehensive understanding of the topic.
Post by : llucklinn    IP : 58.187.66.82

ความคิดเห็นที่ 3
พุธ ที่ 5 เดือน กรกฏาคม พ.ศ.2566 เวลา 16:27:57
Thank you for sharing this useful article. idle breakout
Post by : medicationpower@gmail.com    IP : 113.22.46.58

ความคิดเห็นที่ 4
จันทร์ ที่ 11 เดือน กันยายน พ.ศ.2566 เวลา 21:33:25
Good post. I study one thing more challenging on different blogs everyday. It would always be stimulating to read content from other writers and practice a bit of something from their store. I’d prefer to use some with the content material on my blog whether or not you don’t mind. Blob Opera Natually I’ll give you a link on your internet blog.
Post by : elderlyplot    IP : 171.255.114.111

ความคิดเห็นที่ 5
ศุกร์ ที่ 15 เดือน กันยายน พ.ศ.2566 เวลา 17:06:44
นี่คือสิ่งที่เราได้เห็นในเทมเพลต capcut Healing thailand https://capcutapk.io/healing-thailand-capcut-template/
Post by : brakus    IP : 39.63.28.49

ความคิดเห็นที่ 6
พฤหัสบดี ที่ 21 เดือน กันยายน พ.ศ.2566 เวลา 11:23:53
A fantastic boat for novices and intermediates alike is the dagger phrazle animas. Those who are tall and lanky may benefit from it as well. After two years of paddling, I'm comfortable with class 3 and 4 rapids. https://phrazle.co
Post by : heritageericsson@gmail.com    IP : 58.186.166.110

ความคิดเห็นที่ 7
จันทร์ ที่ 2 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2566 เวลา 15:06:17
I have learned many new and interesting things from reading your post and hope you will post more interesting information in the near future. retro bowl
Post by : gfghgsusa@gmail.com    IP : 58.186.218.102

ความคิดเห็นที่ 8
จันทร์ ที่ 2 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2566 เวลา 15:08:09
I am very impressed with the information slope you shared. I have learned many interesting things from your post and I will definitely follow your next posts.
Post by : dgf@gmail.com    IP : 38.240.178.31

ความคิดเห็นที่ 9
จันทร์ ที่ 2 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2566 เวลา 15:36:37
A very awesome blog post. We are really grateful for your blog post. You will find a lot of approaches after visiting your post.
OKBet app download
Post by : OKBet    IP : 103.104.103.205

ความคิดเห็นที่ 10
จันทร์ ที่ 2 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2566 เวลา 16:33:59
Monster's gameplay is its merge-style mechanics, wherein monsters engage in battles and generate monetary rewards while the player's absence, which may afterwards be utilized upon their return. snow rider 3d
Post by : irisharsa    IP : 43.225.189.91

ความคิดเห็นที่ 11
อังคาร ที่ 17 เดือน ตุลาคม พ.ศ.2566 เวลา 10:03:53
Here you'll discover all the previously-published answers to the popular contexto game. The earlier games in the contextoseries may be played, right?

Post by : dariaamanda769@gmail.com    IP : 123.24.160.63

ความคิดเห็นที่ 12
จันทร์ ที่ 27 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2566 เวลา 20:35:55
Good post. I study one thing more challenging on different blogs every day. <a href="https://spotiapks.com/spotify-premium-apk-latest-version/">Spotify Premium APK</a> is the best music app for to listening unlimited songs
Post by : Menala    IP : 175.107.235.110

ความคิดเห็นที่ 13
จันทร์ ที่ 27 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2566 เวลา 20:37:48
Good post. I study one thing more challenging on different blogs every day. <a href="https://spotiapks.com/spotify-premium-apk-latest-version/">Spotify Premium APK</a> is the best music app for to listening unlimited songs
Post by : Menala    IP : 175.107.235.110

ความคิดเห็นที่ 14
พุธ ที่ 29 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ.2566 เวลา 00:09:31
wonderful information, have you tried Capcut Pro https://capcut-mod.app/
Post by : zk0415004@gmail.com    IP : 154.81.246.63

ความคิดเห็นที่ 15
จันทร์ ที่ 11 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2566 เวลา 05:22:57
Alight Motion Mod APK is a mobile phone application that lets you make graphics, visual effects, and animations. There isn’t a better app for Android devices than this one to make animations. Alight Creative Inc. offers the application for free. The first motion designing app in the world is called Alight Motion Pro. https://alightmotionmodapk.cc/
Post by : afakchoudhry44@gmail.com    IP : 39.34.185.204

ความคิดเห็นที่ 16
จันทร์ ที่ 11 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2566 เวลา 05:24:17
Alight Motion Mod APK is a mobile phone application that lets you make graphics, visual effects, and animations. There isn’t a better app for Android devices than this one to make animations. Alight Creative Inc. offers the application for free. The first motion designing app in the world is called Alight Motion Pro. https://alightmotionmodapk.cc/ https://alightmotionmodapk.cc/
Post by : afakchoudhry44@gmail.com    IP : 39.34.185.204

ความคิดเห็นที่ 17
จันทร์ ที่ 11 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2566 เวลา 05:25:59
Insta Pro Apk is a unique alternative to the official Instagram app. This includes the option to add posts to highlights, vice versa, alter the app’s layout, add free filters to movies to improve them, and watch content covertly without causing noticed notifications. With the ability to download images, videos, and reels directly to your device, https://instapromodapk.com/ https://instapromodapk.com/
Post by : instapro272@gmail.com    IP : 39.34.185.204

ความคิดเห็นที่ 18
จันทร์ ที่ 11 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2566 เวลา 05:27:46
Maximize your profit with ipolicyholder https://ipolicyholder.com/
Post by : ipolicyholder@gmail.com    IP : 39.34.185.204

ความคิดเห็นที่ 19
อังคาร ที่ 12 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2566 เวลา 21:49:50
ปั่นสล็อต PG อย่างผู้เชี่ยวชาญง่ายกว่าที่คิด

PG Slot เป็นผู้ให้บริการเกมคาสิโนออนไลน์ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาเกมสล็อตออนไลน์ที่มีคุณภาพสูงและมีกราฟิกที่สวยงาม บริษัทนี้มีฐานลูกค้าที่กว้างขวางทั่วโลกและได้รับความเคารพจากผู้เล่นที่ค้นหาประสบการณ์การพนันที่น่าสนใจและมีความสนุกสนานเกมสล็อตออนไลน์เป็นหนึ่งในประเภทของเกมการพนันที่ได้รับความนิยมมากในวงกว้างเนื่องจากมีความสะดวกสบายและน่าสนุก นี่คือบางปัจจัยที่ทำให้การเล่นเกมสล็อตออนไลน์น่าสนใจ
1.  ความหลากหลายของเกม มีจำนวนมากของเกมสล็อตออนไลน์ที่มีให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นเกมที่มีวงล้อแบบคลาสสิกหรือเกมที่มีฟีเจอร์และกราฟิกที่สูงขึ้น ความหลากหลายนี้ทำให้ผู้เล่นสามารถเลือกเล่นเกมที่ตรงกับความสนใจและรสนิยมของตนเองได้
2.  ฟีเจอร์พิเศษและโบนัส เกมสล็อตมักมีฟีเจอร์พิเศษที่ทำให้การเล่นเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น เช่น โบนัสเกมฟรี การเพิ่มคูณรางวัล หรือโบนัสเกมที่มีกราฟิกที่น่าทึ่ง
3.  การเข้าถึงที่สะดวก เกมสล็อตออนไลน์สามารถเล่นได้ทันทีผ่านอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต เช่น คอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ทำให้ผู้เล่นสามารถเข้าเล่นได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ
4.  โอกาสการชนะมากมาย เกมสล็อตมักมีการจ่ายเงินรางวัลที่สูงมากในรูปแบบของแจ็คพ็อต และนอกจากนี้ยังมีการจ่ายเงินรางวัลที่น่าสนใจในรอบเกมปกติ
5.  การพัฒนาเทคโนโลยี บางเกมสล็อตนำเทคโนโลยีล่าสุดมาใช้ เช่น กราฟิกที่สวยงาม เสียงที่มีคุณภาพ และการใช้งานที่เรียบง่าย ทำให้ผู้เล่นได้รับประสบการณ์ที่น่าจดจำ
6.  โปรโมชั่นและโบนัส หลายๆ เว็บไซต์การพนันมีโปรโมชั่นและโบนัสสำหรับผู้เล่นเกมสล็อต เช่น เงินโบนัสตอนลงทะเบียน การแข่งขัน หรือโปรโมชั่นพิเศษที่สำหรับสมาชิก
การเล่นเกมสล็อต PG หรือเกมอื่น ๆ ควรทำตามหลักการที่รับรองความเป็นธรรมและปลอดภัย นอกจากนี้ ควรทราบกฎกติกาของแต่ละเว็บไซต์และเกม เพื่อป้องกันการเสี่ยงต่อการทุจริตหรือปัญหาทางการเงิน และนี่ก็คือบางข้อแนะนำที่สามารถให้ได้
1.  ศึกษากฎกติกา ทำความเข้าใจกฎกติกาของเกม PG SLOT ที่คุณสนใจในการเล่น พีจี มีการตั้งค่าการเดิมพัน การจ่ายเงิน และคุณสมบัติเฉพาะต่าง ๆ ที่ควรทราบ
2.  บริหารจัดการเงิน กำหนดวงเงินที่คุณสามารถเสียได้และไม่ทำให้ทราบรู้ต่อความสามารถในการเดิมพันของคุณ แบ่งงบการเล่นเป็นส่วนๆ และไม่ควรเดิมพันมากเกินไป
3.  เลือกเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือ เลือกเล่นเกมบนเว็บไซต์ที่ได้รับการรับรองและมีความน่าเชื่อถือจากผู้เล่นอื่น ๆ ควรตรวจสอบว่าเว็บไซต์มีใบอนุญาตจากหน่วยงานที่เชื่อถือได้
4.  ทดลองเล่น (Demo) หากเป็นเป็นไปได้ ลองทดลองเล่นเกมโดยใช้โหมดทดลองเล่นก่อนที่จะลงเดิมพันด้วยเงินจริง เพื่อทดสอบเกมและเข้าใจกฎกติกา
5.  หยุดเมื่อจำเป็น หากคุณเริ่มพบว่าคุณสูญเสียมาก หยุดเล่นและพิจารณาว่าควรหยุดเดิมพันไปเร็วหรือไม่
6.  ติดต่อความช่วยเหลือ หากคุณมีปัญหาทางการเงินหรือมีคำถามเกี่ยวกับการเล่น ติดต่อทีมสนับสนุนลูกค้าของเว็บไซต์

การเล่นเกมสล็อตออนไลน์มีความสนุกสนานและท้าทาย ซึ่งทำให้มันเป็นที่นิยมในวงกว้างของผู้เล่นการพนันออนไลน์ทั่วโลก ทราบว่าการพนันเป็นกิจกรรมที่ทำได้เพื่อความสนุกสนาน แต่ควรทำไปพร้อมกับการรับรู้ถึงความเสี่ยงและทำตามแนวทางที่มีความรับผิดชอบ

Post by : jandeejenjira@gmail.com    IP : 51.79.138.154

ความคิดเห็นที่ 20
จันทร์ ที่ 25 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2566 เวลา 09:48:26
อาการของโรคต่อมไทรอยด์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม https://fnafgo.com
Post by : lilycollins9x@gmail.com    IP : 183.80.69.140

ความคิดเห็นที่ 21
จันทร์ ที่ 25 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2566 เวลา 09:49:37
อาการของโรคต่อมไทรอยด์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับชนิดและ fnaf ความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม
Post by : annadinea@gmail.com    IP : 183.80.69.140

ความคิดเห็นที่ 22
อังคาร ที่ 26 เดือน ธันวาคม พ.ศ.2566 เวลา 14:05:31
wonderful information. have ever try https://capcutapkdownload.info/foto-puzzle-x-efek-capcut-template/
Post by : capcutapkdownload    IP : 103.131.212.11

ความคิดเห็นที่ 23
อังคาร ที่ 2 เดือน มกราคม พ.ศ.2567 เวลา 03:50:44
Snapchat++ APK is the most popular application in the world. In this app, we can create photos by applying custom color unique filters and making short clips. In these share stories with other people and also chat with other people. There is a modified version of Snapchat that offers even more features. It’s called Snapchat++ APK. This post describes the features in detail how to use this app and how to use its features and how to download and install it. All this is explained in the post. https://splusplusapk.com/
Post by : afakchoudhry44@gmail.com    IP : 39.34.184.218

ความคิดเห็นที่ 24
พุธ ที่ 3 เดือน มกราคม พ.ศ.2567 เวลา 18:24:31
Great information, you covert this information visually through https://itscapcutapk.com/
Post by : John    IP : 203.101.190.136

ความคิดเห็นที่ 25
พุธ ที่ 3 เดือน มกราคม พ.ศ.2567 เวลา 18:26:41
Great information, you covert this information visually through
[https://itscapcutapk.com/
]https://itscapcutapk.com/[/https://itscapcutapk.com/
]
Post by : Folks    IP : 203.101.190.136

ความคิดเห็นที่ 26
พุธ ที่ 24 เดือน มกราคม พ.ศ.2567 เวลา 09:55:00
I am all that much satisfied with the substance you have specified. I needed to thank you for this awesome article. dinosaur game
Post by : hoodiecheer    IP : 95.174.66.158

ความคิดเห็นที่ 27
จันทร์ ที่ 29 เดือน มกราคม พ.ศ.2567 เวลา 12:52:54
that is very nice you can also try Capcut https://capcutnewtemplates.com/ for free
Post by : Alex dron    IP : 23.106.56.19

ความคิดเห็นที่ 28
จันทร์ ที่ 5 เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 เวลา 20:54:59

Thank you for sharing this incredible article. You may also explore this website to elevate your gaming experience idleofficetycoonmodapk https://idleofficetycoonapk.com/
Post by : b8392536@gmail.com    IP : 103.148.128.146


  แสดงความคิดเห็น
ชื่อ/อีเมลล์ :  สมาชิกระบบจะกรอกให้อัตโนมัติ
ใส่รหัสยืนยัน
ไอคอน : ย่อหน้า จัดซ้าย จัดกลาง จัดขวา ตัวหนา ตัวเอียง เส้นใต้ ตัวยก ตัวห้อย ตัวหนังสือเรืองแสง ตัวหนังสือมีเงา สีแดง สีเขียว สีน้ำเงิน สีส้ม สีชมพู สีเทา
อ้างอิงคำพูด เพิ่มเพลง เพิ่มวีดีโอคลิป เพิ่มรูปภาพ เพิ่มไฟล์ Flash เพิ่มลิงก์ เพิ่มอีเมล์
ข้อความ :


กรุณาใช้คำพูดที่สุภาพ และอย่าใช้คำพูดที่พาดพิงถึงบุคคลอื่นให้เสียหาย ขอขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ


ข้อความที่ท่านได้อ่าน เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และส่งขึ้นมาแบบอัตโนมัติ เจ้าของระบบไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆทั้งสิ้น เพราะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นความจริงหรือ ชื่อผู้เขียนที่ได้เห็นคือชื่อจริง ผู้อ่านจึงควรใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดที่ขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม กรุณาแจ้งที่ Webmaster Narongrit.net เพื่อให้ผู้ควบคุมระบบทราบและทำการลบข้อความนั้น ออกจากระบบต่อไป